Samsung ประกาศเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ตระกูล Galaxy S23 ประกอบด้วย Galaxy S23, Galaxy S23+ และ Galaxy S23 Ultra แต่ถึงจะเป็นรุ่นใหม่ นักวิเคราะห์กลับมองว่าแทบไม่ต่างจากรุ่นเดิม และเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของผู้ผลิตสมาร์ตโฟนในการสื่อสารเรื่องที่ใหม่จริง ๆ ของสินค้าใหม่หลังจากนี้
Samsung S23 ไม่ใหม่ในสายตานักวิเคราะห์
สำนักข่าว CNN รายงานว่า การที่ Samsung เปิดตัว Samsung Galaxy S23 แม้จะถูกวางตัวเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธง แต่ดูเหมือนจะไม่ถึงกับปฏิวัติอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือมากนัก และอาจทำได้แค่จูงใจแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ และช่วยให้ Samsung แข่งขันในตลาดนี้ได้อย่ามีประสิทธิภาพเท่านั้น
Leo Gibbie หัวหน้านักวิเคราะห์ของ CCS Insight มองว่า สมาร์ตโฟนตระกูล Galaxy S23 แสดงให้เห็นถึงความยากในการสื่อสารเรื่องใหม่ ๆ ในตลาดสมาร์ตโฟน แม้ Galaxy S23 จะมีประสิทธิภาพสูงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การยกระดับเรื่องความสามารถของกล้อง และการใช้แบตเตอรี่ที่ดีขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่
“ถือเป็นการตอกย้ำว่า Samsung และแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่นกำลังเจอเรื่องยากในการหาหนทางสื่อสาร และจำหน่ายโทรศัพท์มือถือด้วยเรื่องที่ผู้บริโภคไม่เคยพบเห็นมากก่อน รู้สึกตื่นเต้น รวมถึงดึงดูดกลุ่มคนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้มาซื้อสินค้าให้ได้”
รอ 2 ปีเพื่อปล่อย Impact ดีกว่าเปิดรุ่นใหม่ทุกปี
ขณะเดียวกัน David McQueen หัวหน้านักวิจัยจาก ABI Research ยังมองว่า ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนต่างพัฒนาสิ่งใหม่เพียงเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะรอระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี เพื่อเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่สร้าง Impact ให้กับตลาด แต่ก็เพราะตลาดมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้พวกเขาต้องทำแบบนี้
“แบรนด์สมาร์ตโฟนต่าง ๆ จำเป็นต้องเปิดตัวรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีใหม่จริง ๆ เพียงเล็กน้อย และถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นมันจะแทบไม่แตกต่างจากรุ่นก่อน แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำไปเพื่อความอยู่รอดในตลาด เพราะภาพรวมตลาดมีการแข่งขันที่เร็วขึ้น”
ปัจจุบันรอบการเปิดตัวตระกูล Samsung Galaxy S จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีของทุกปี นอกจากนี้ Samsung ยังมีกลุ่มสมาร์ตโฟนพับได้เป็นอีกสินค้าเรือธง เช่น Samsung Galaxy Fold4 และ Flip4 ซึ่งกลุ่มนี้จะเปิดตัวในช่วงกลางปีของทุกปี
Samsung ยอมรับเองว่าถ้ารอ 2 ปี ก็ไม่คุ้ม
ในทางกลับกัน Jude Buckley ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจโมบายในสหรัฐอเมริกาของ Samsung Electronics ยอมรับว่า บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้อยู่ในแถวหน้าเพื่อแข่งขันในตลาดได้ และถ้าต้องรอ 2 ปี เพื่อส่งเทคโนโลยีที่ Impact ออกมา ช่วงเวลา 2 ปีนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
สำหรับ Samsung Galaxy S23 มีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยคือ Galaxy S23, Galaxy S23+ และ Galaxy S23 Ultra โดย Samsung Galaxy S23 และ S23+ ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 2 มาพร้อมแรม 8G แตกต่างกันเรื่องขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว กับ 6.6 นิ้ว และราคาเริ่มต้น 30,900 บาท กับ 37,900 บาท ตามลำดับ
ส่วน Samsung Galaxy S23 Ultra มีหน้าตา และมาพร้อมปากกา S Pen เช่นเดียวกับรุ่นก่อน มีจุดต่างกับ S23 และ S23+ คือ กล้องหลัง 4 ตัว ที่ประกอบด้วยกล้องมุมกว้างพิเศษ, กล้องมุมกว้าง และกล้องซูม 2 ตัวที่ซูมได้สูงสุด 100 เท่า ราคาเริ่มต้น 43,900 บาท
สรุป
ถือเป็นการยากในการสื่อสารเรื่องใหม่ของผู้ผลิตสมาร์ตโฟนทุกแบรนด์ เพราะทั้งความสามารถเรื่องกล้อง, แบตเตอรี่ และรูปแบบการใช้งานแทบไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้การจูงใจผู้ซื้อทั่วไปอาจยากขึ้น และต้องดูกันว่าแบรนด์ใดจะสามารถสื่อสารเรื่องใหม่จริง ๆ ให้ผู้บริโภครับรู้ และจูงใจเขาด้วยเรื่องเหล่านั้นได้
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา