Walt Disney เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก นอกจากโลกของภาพยนตร์ ที่เป็นเจ้าของการ์ตูนมากมายหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel Studios และ Lucasfilm เจ้าของแฟรนไชส์ Star Wars ยังมีอะไรที่อยู่ในมือบริษัทนี้อีกบ้าง
Brand Inside จะพาทุกท่านไปรู้จักกับอาณาจักร Walt Disney ซึ่งมีธุรกิจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสื่อ หรือว่าสวนสนุก หรือรวมไปถึงสตูดิโอหนังด้วย ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ซึ่งรายได้แต่ละปีของ Disney ถือว่าเยอะพอๆ สูสีกับงบประมาณของประเทศไทยเลย
อันดับแรกคือธุรกิจสื่อ ที่ประกอบไปด้วย 3 ธุรกิจย่อยๆ ได้แก่
ESPN เจ้าแห่งลิขสิทธิ์กีฬา
ธุรกิจหลักๆ ในด้านนี้ของ Disney คือการผลิตช่องรายการเพื่อขายให้กับเคเบิลทีวี โดยมีช่องกีฬาชื่อดังที่เราคุ้นหูกันอย่าง ESPN เป็นรายได้หลักๆ ตามด้วย Disney Channel
สำหรับ ESPN นั้น Walt Disney ถือหุ้น 80% อีก 20% เป็นของ Hearst Corporation และยังมีช่องในเครืออีกเพียบ โดยเฉพาะ ESPN2 ที่แต่ละช่องมียอดสมาชิกหลัก 90 ล้านรายในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ช่องย่อยอื่นๆ ก็มีสมาชิกในระดับ 60 ล้านราย และ ESPN ยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์กีฬาดังๆ ในสหรัฐอเมริกาไว้มากที่สุด ดังนั้น เคเบิลทีวีต่างๆ ในสหรัฐต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์กันเพียบ
สำหรับช่อง ESPN ที่ให้บริการนอกสหรัฐมีสมาชิก 146 ล้านคน ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินเดียโดยร่วมทุนกับ Sony Pictures Networks รองลงมาคือทวีปอเมริกาใต้
Disney Channel เพื่อคุณหนู
คุณหนูๆ ทั้งหลาย หรือว่าใครที่ผ่านวัยเด็กมาแล้วน่าจะเคยดูช่อง Disney Channel มียอดสมาชิกในสหรัฐสูงกว่า 90 ล้านราย และยังมีช่องย่อยๆ เกือบ 100 ช่องที่ให้บริการผ่านผู้ให้บริการเคเบิลทีวีทั่วโลก 162 ประเทศ
ส่วนการลงทุนในเรื่องของ Cable Networks ในต่างประเทศปัจจุบันนอกจาก ESPN แล้วมีเพียงแค่ช่องโทรทัศน์ในอินเดียอย่าง UTV/Bindass และรวมไปถึง Hungama เท่านั้น
ส่วนบริการ Freeform หรือแต่เดิมเรียกว่า ABC Family มีสมาชิกในสหรัฐมากกว่า 90 ล้านราย และในส่วนธุรกิจ Cable Networks ยังรวมไปถึงการลงทุนใน BAMTech ด้วย
ธุรกิจ Broadcasting ในสหรัฐ
Broadcasting หรือธุรกิจฟรีทีวี มีหัวหอกอย่างช่อง ABC เป็น 1 ใน 6 ช่องฟรีทีวีใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีพันธมิตรเป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นกว่า 244 สถานี และเป็นเจ้าของสถานีเอง 8 แห่ง อีกทั้งยังรับผลิตรายการให้เจ้าอื่นๆ โดยปีที่ผ่านมาบริษัทผลิตละครให้กับ Netflix จำนวน 4 เรื่อง และ Hulu อีก 1 เรื่อง
ลงทุนในช่องโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ
นอกจากนั้น Disney ยังได้ลงทุนร่วมกับบริษัทหลายๆ บริษัทไม่ว่าจะเป็นสื่อแบบดั้งเดิมหรือไม่ว่าสื่อใหม่
- A+E Television Networks – Disney ได้ลงทุนฝ่ายละ 50% กับ Hearst Corporation ซึ่ง A+E เป็นเจ้าของช่องสารคดีชื่อดังอย่างเช่น History Channel หรือช่องอื่นๆ อย่าง Lifetime ฯลฯ
- Vice – ทาง A+E ได้ลงทุนใน Vice Group ไป 18% แต่ได้ลงทุนในบริษัทลูกของ Vice Group อย่าง Viceland ไปฝ่ายละ 50% กับ Disney ซึ่ง Viceland เป็นเจ้าของ Vice ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์แนวใหม่ที่เน้นรายงานแบบเจาะลึก และมีคอนเทนต์เฉพาะกลุ่มอีกด้วย
- CTV – Disney ได้ลงทุนในกิจการโทรทัศน์ในประเทศแคนาดา 30% ซึ่งเป็นเจ้าของช่องกีฬาอย่าง TSN หรือ RDS และทีวีอีกหลายๆ ช่อง
- Hulu – แพลตฟอร์มคู่แข่งของ Netflix บริษัทได้ลงทุน 30%
- Seven TV – ในประเทศรัสเซีย Disney ลงทุน 20% เพื่อที่จะได้ออกอากาศคอนเทนต์จาก Disney เอง
ธุรกิจสวนสนุก
พูดถึง Disney จะไม่พูดถึง Disneyland ไม่ได้ ซึ่งสวนสนุก ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก บางแห่งจะมีโรงแรมสำหรับพักด้วย โดยสำหรับ Resort และสวนสนุกที่ทาง Disney เป็นเจ้าของเองได้แก่
- Walt Disney World Resort ที่ ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
- Disneyland Resort ที่ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
- Disneyland ปารีส ฝรั่งเศส
- Aulani Disney Resort & Spa ที่ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา
นอกเหนือจากนั้นจะเป็นสวนสนุกที่ทาง Disney ได้ร่วมลงทุน
- Hong Kong Disneyland Resort Disney ได้ลงทุนไป 47% ที่เหลือคือทางเกาะฮ่องกงเป็นผู้ลงทุน
- Shanghai Disney Resort Disney ได้ลงทุนไป 43% ที่เหลือคือทาง Shanghai Shendi เป็นผู้ลงทุน
ส่วนด้าน Tokyo Disney Resort บริษัทได้ให้สิทธิ์แก่บริษัทในญี่ปุ่นคือ The Oriental Land Company เป็นคนจัดการและดูแล ฉะนั้นรายได้ของสวนสนุกที่โตเกียวจะไม่ได้เข้ามารวมในงบเหมือนสวนสนุกอื่นๆ
ส่วนธุรกิจอื่นๆ ในส่วนธุรกิจสวนสนุก ก็มี Disney Vacation Club และ Adventures by Disney รวมไปถึง Disney Cruise Line บริการเรือสำราญท่องเที่ยว
สตูดิโอหนัง
ธุรกิจสตูดิโอหนังของ Disney ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราจะคุ้นเคยและรู้จักดี โดยสตูดิโอหลักๆ ของ Walt Disney ประกอบไปด้วย Walt Disney Pictures, Pixar, Marvel และ Lucasfilm
ในธุรกิจนี้ยังรวมไปถึงธุรกิจย่อยๆ เช่น การขายลิขสิทธิ์หนังให้กับบริษัทเคเบิลทีวีต่างประเทศ หรือไม่เว้นแต่ฟรีทีวี ที่บ้านเราชอบซื้อลิขสิทธิ์หนังมาออกอากาศก็จะอยู่ในหมวดธุรกิจนี้ หรือแม้แต่การขายวิดีโอในรูปแบบต่างๆ เช่น แผ่น Blu-Ray หรือแผ่น DVD เป็นต้น
แน่นอนว่าธุรกิจในส่วนนี้กำลังไปได้สวย โดยเฉพาะช่วงนี้หนังทำเงินอย่าง Avengers กำลังทำรายได้ในจีนอย่างงดงาม และตอนนี้เป็นหนังทำเงินอันดับ 5 ของโลกไปแล้วด้วย
ธุรกิจ Consumer & Interactive Media
ธุรกิจอื่นๆ ของ Walt Disney เช่นการขายลิขสิทธิ์ Merchandise ให้ผู้สนใจนำไปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนของ Disney นิตยสารของบริษัท หรือแม้แต่เกมของบริษัทที่จำหน่าย จะถือว่าอยู่ในธุรกิจนี้
แล้วอะไรเป็นธุรกิจทำเงินของ Disney กันแน่
เป็นข้อถกเถียงกัน (ถ้าหากไม่เปิดงบดู) ว่าสรุปแล้วอะไรกันแน่ที่ทำรายได้ให้กับ Walt Disney มากที่สุด หลายคนอาจคิดว่าเป็นภาพยนตร์เพราะเห็นกันชัดเจนที่สุด แต่นี่คือข้อมูลผลประกอบการจากปีที่ผ่านมา ซึ่งสรุปแล้วคือ
- ธุรกิจสื่อ ในปี 2017 ที่ผ่านมาทำรายได้ 23,510 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 42.8%
- ธุรกิจสวนสนุก ในปี 2017 ที่ผ่านมาทำรายได้ 18,415 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 33.5%
- ธุรกิจสตูดิโอหนัง ในปี 2017 ที่ผ่านมาทำรายได้ 8,379 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 15.3%
- ธุรกิจ Consumer และ Interactive Media ในปี 2017 ที่ผ่านมาทำรายได้ 4,833 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 8.8%
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม Disney ถึงต้องหันมาหารายได้ใหม่ๆ เช่น การที่บริษัทจะประกาศทำ Streaming เลิกนำภาพยนตร์ไปลง Netflix ส่วนหนึ่งเพราะธุรกิจสื่อเป็นรายได้หลักของ Disney มีสัดส่วน 42.8% เป็นอู่ข้าวอู่น้ำแต่มีแนวโน้มอิ่มตัวในสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น สิ่งที่ Disney พยายามให้เกิดขึ้นคือ การควบรวมกิจการกับธุรกิจสื่ออื่นๆ เช่น FOX เพื่อรวบรวมคอนเทนต์และสร้างช่องทางการนำเสนอใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาภาพยนตร์ เพื่อสร้างรายได้ไปทั่วโลกมาก โดยเฉพาะตลาดจีน มากกว่าจับตลาดสหรัฐอเมริกาแบบในอดีต ซึ่ง Avengers: Infinity War เป็นกรณีตัวอย่างล่าสุดที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา