ในช่วง COVID-19 การดำเนินชีวิตของทุกคนต่างก็เปลี่ยนไป และแน่นอนว่าฝั่งธุรกิจก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้ของ Amazon ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะทางบริษัทกำลังลดการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น
ตามปกติแล้ว บริษัทมักจะจัดโปรโมชั่นหรือโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นหรือราคาแพงเกินความจำเป็นเพื่อการเติบโตของภาคธุรกิจ แต่ล่าสุดรายงานของ Wall Street Journal ระบุว่า ตอนนี้ Amazon กำลังหยุดยั้งการบริโภคสินค้าไม่จำเป็น เริ่มตั้งแต่ไม่มีการวางแผนจัดโปรโมชั่นเหมือนสภาวะปกติ, ไม่บอกว่าลูกค้าคนอื่นซื้ออะไร รวมถึงเลื่อนการจัดโปรโมชั่น Prime Day ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
การปรับตัวในเรื่องนี้ แม้จะทำให้ Amazon เสียรายได้ไปจำนวนหนึ่ง แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ก็มีออร์เดอร์เข้ามาเยอะมาก ๆ แล้ว การชะลอการเติบโตในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับโรคระบาดจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทให้ไม่ดูหน้าเลือดจนเกินไป
แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง การยกเลิกระบบกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้านี้ บ่งบอกถึงความสามารถของอัลกอริทึมของ Amazon ที่กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นเสนอสินค้าที่ราคาสูงกว่าถ้า Amazon เห็นว่าลูกค้าพร้อมจะจ่ายเงินในราคาแพงกว่า
นอกจาก Amazon แล้ว ธุรกิจท่องเที่ยวอย่าง Expedia Group โดยประธาน Barry Diller ระบุว่าบริษัทจ่ายค่าโฆษณาทุกปีราว 5 พันล้านดอลลาร์ แต่ปีนี้คาดว่าน่าจะไม่ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่ใช่เฉพาะ Expedia แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งหมดต่างก็ลดค่าโฆษณาเพราะมั่นใจได้ว่าลูกค้าน่าจะชะลอการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวไปก่อน ซึ่งแม้ว่าเทรนด์การลดค่าโฆษณาจะชัดเจนมากในธุรกิจท่องเที่ยว แต่กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็คงจะมาในรูปแบบเดียวกัน คือลดการโฆษณาเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น
แน่นอนว่าเทรนด์นี้ส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจโฆษณาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Facebook เพราะรายได้ส่วนนี้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนตอนนี้มีรายงานว่า Google กำลังจะลดจำนวนการรับคนเข้าทำงานแล้ว
ที่มา – Bloomberg, Wall Street Journal
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา