เปิดธุรกิจโฆษณา Amazon อาณาจักรหมื่นล้านเหรียญ โตแซงหน้า Twitter-Pinterest-Snapchat แล้ว

ในช่วงปีที่ผ่านมา ธุรกิจโฆษณาของ Amazon เติบโตอย่างรวดเร็ว แซงหน้ารายได้ของ Twitter, Pinterest, Snapchat และ Roku (แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง) รวมกันเสียอีก

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจโฆษณาของ Amazon เติบโตสูงได้ขนาดนี้ ?

Amazon

รู้จักธุรกิจโฆษณา Amazon

ย้อนกลับไปในปี 2018 Amazon ตัดสินใจเลิกขายโฆษณาผ่านเอเจนซี่ แล้วหันมาต่อรองกับนักการตลาดของแบรนด์ต่างๆ โดยตรงแทน

ทำให้รายได้จากการโฆษณาของ Amazon มาจากการขายแบนเนอร์ วิดีโอ รูปภาพ หรือคีย์เวิร์ดของร้านค้าในเว็บไซต์ที่มีคำว่า sponsored products กำกับอยู่

นอกจากจะช่วยดูแลเรื่องโฆษณาแล้ว Amazon ยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการขาย การจัดการสินค้า รวมถึงการดูแลโปรโมชั่นของแบรนด์ได้อย่างครบวงจรอีกด้วย

มีหลายแบรนด์ที่ทำโฆษณาบน Amazon มาอย่างยาวนาน

  • HP ที่ทำโฆษณาโดยตรงกับ Amazon เพราะ​ลดขั้นตอนการทำงานได้หลายส่วน
  • Lego ที่ดีลกับ Amazon ไว้ว่าคู่แข่งของ Lego จะมาลงโฆษณากับ Amazon ไม่ได้

ทั้งนี้ หลายๆ คนอาจสับสันว่าสินค้าที่มีป้าย Amazon’s Choice กำกับอยู่นั้นเป็นสินค้าโฆษณาหรือเปล่า

คำตอบคือไม่ใช่ เพราะ Amazon’s Choice คือป้ายที่ติดเพื่อแสดงให้เห็นว่า สินค้าไหนที่ลูกค้าชอบเป็นพิเศษและอยู่ในราคาที่ย่อมเยาว์ เพียงเท่านั้น

Amazon

รายได้ธุรกิจโฆษณา Amazon เติบโตอย่างสูง

ในไตรมาสแรกของปี 2021 Amazon ทำรายได้จากการโฆษณาสูงถึง 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.1 แสนล้านบาท) ซึ่งถือว่าเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 77%

โดยหากย้อนกลับไปในปี 2020 ธุรกิจโฆษณาของ Amazon ก็ทำรายได้กว่า 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท) ซึ่งเติบโตกว่าปีก่อนหน้าถึง 65%

ในขณะที่ รายได้รวมจากการโฆษณาของ Twitter + Pinterest + Snapchat + Roku ในปี 2020 อยู่ที่ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท) เท่านั้น แจกแจงรายได้ตามด้านล่างนี้

  • Twitter ทำรายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • Roku ทำรายได้ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • Pinterest ทำรายได้ 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • Snapchat ทำรายได้ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)

เมื่อลองวิเคราะห์ดูจะพบว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่กล่าวมายังไม่ประสบความสำเร็จด้านโฆษณาเท่ากับ Amazon เนื่องจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าแพลตฟอร์มเหล่านั้นด้วยจุดประสงค์อื่นๆ ที่ไม่ใช่การซื้อของเป็นหลัก

  • Twitter มีรายได้จากการโฆษณาต่ำสุดในลิสต์นี้ เพราะคนส่วนใหญ่เข้ามาในทวิตเตอร์เพื่อบ่นระบายความรู้สึกและติดตามข่าวสารจากทั่วโลกเป็นหลักมากกว่า
  • แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Roku มีจุดอ่อนคือผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังอยู่ในแถบอเมริกาเท่านั้น
  • ส่วน Pinterest ยังมีโอกาสเติบโต เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อหาไอเดียต่างๆ เช่น ไอเดียแต่งบ้าน จนเคยมีข้อมูลออกมาว่าคนกว่า 73% เลือกซื้อสินค้าแบบเดียวกับที่เห็นโฆษณาในพินเทอร์เรส
  • ในด้านของ Snapchat ก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะมีฟีเจอร์หลายๆ อย่างคล้ายกับ Instagram ที่มีร้านค้ารายย่อยเข้ามาโฆษณาสินค้ามากมาย

Amazon

พลังของ Data อันมหาศาลคือจุดเด่นของ Amazon

Amazon โดดเด่นในเรื่องการทำโฆษณา เพราะมีข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีมากถึง 197 ล้านคนที่เป็นผู้ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ในทุกๆ เดือน

ข้อดีของการโฆษณาบน Amazon คือร้านค้าสามารถจ่ายเงินให้ Amazon เฉพาะตอนที่มีคนคลิกชมสินค้าโฆษณาเท่านั้น ทำให้ร้านค้ารายย่อยประหยัดต้นทุนค่าการตลาดได้พอสมควร

ในอนาคตธุรกิจโฆษณาของ Amazon มีแนวโน้มเติบโตอีกมาก เพราะ Amazon ครองตลาดอีคอมเมิร์ซกว่า 40% ในสหรัฐอเมริกา และหากดูรายการสินค้าอย่างละเอียดจะพบว่า Amazon ครองตลาดสินค้าบางประเภทมากถึง 90% เช่น แบตเตอรี่ เครื่องใช้ในครัว อุปกรณ์กอล์ฟ อุปกรณ์ DIY และเครื่องสำอางค์

Amazon ใช้กลยุทธ์อะไรในการโฆษณา

กลยุทธ์การโฆษณาของ Amazon มีความน่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • หากเราเสิร์ชหาลิปสติกยี่ห้อ A ในเว็บไซต์ แต่ถ้ายี่ห้อ A ไม่ได้ซื้อโฆษณากับ Amazon ไว้ ทางเว็บไซต์ก็จะโชว์รูปภาพและข้อมูลของลิปสติกยี่ห้อ B ที่ซื้อโฆษณาขึ้นมาก่อนอยู่ดี

ข้อมูลของ Goat Consulting ยังระบุว่า จากการทำแบบสำรวจผู้ใช้งาน Amazon กว่า 2,000 ราย พบว่า มีผู้ใช้งานกว่าครึ่งที่ดูไม่ออกว่าสินค้าชิ้นไหนได้รับการโฆษณา

นี่แสดงให้เห็นว่า Amazon ทำโฆษณาได้อย่างแนบเนียนมากๆ

Brian Olsavsky ซึ่งเป็น CFO ของ Amazon อธิบายเพิ่มเติมว่า คนเข้ามาซื้อของผ่านเว็บไซต์ Amazon มากขึ้น เพราะใช้เทคนิคการตั้งค่า Ad Relevance เพื่อดูว่าโฆษณาที่ลงไปมีประสิทธิภาพเท่าไหร่เมื่อเทียบกับโฆษณาอื่นที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ที่สำคัญวิธีการนี้ยังช่วยบอกสาเหตุด้วยว่าทำไมโฆษณาบางตัวถึงลงไปแล้วได้ผลลัพธ์ไม่ค่อยดี

นอกจากนี้ Amazon ยังใช้ Deep Learning ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของ Machine Learning มาแสดงให้ลูกค้าเห็นรายการสินค้าที่คล้ายๆ กัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อมากขึ้นอีกด้วย

โดยสรุป

จะเห็นได้ว่าตลาดโฆษณาของ Amazon มีโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งคงต้องจับตามองทิศทางของธุรกิจนี้ต่อไป ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Google หรือ Facebook ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน

ที่มา : cnbc (1), cnbc (2), cnbc (3), techjury, digiday, Forbes, debugger, adespresso

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา