แม้ประเทศไทยจะมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือ 98 ล้านเลขหมาย มากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก แต่โอกาสการจำหน่ายสมาร์ทโฟนก็ยังมีอยู่ เพราะจากตัวเลขสำรวจ การใช้งานสมาร์ทโฟนยังอยู่เพียงครึ่งหนึ่งของเลขหมายข้างต้น ทำให้มีหลากหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาด เพราะอยากชิงเค้กสมาร์ทโฟนมูลค่า 1.3 แสนล้านบาท
การกลับมาอีกครั้ง (ที่เท่าไหร่) ของ “อัลคาเทล”
เมื่อโอกาสเปิดขนาดนี้ ทำให้แบรนด์รองในตลาดต่างมีความหวังที่จะได้ส่วนแบ่งยอดขายแค่ไม่ถึง 5% ซึ่งแต่ละรายก็เตรียมส่งแผนกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี หนึ่งในนั้นคือ อัลคาเทล แบรนด์สินค้าโทรคมนาคมจากฝรั่งเศส โดยการกลับมาทำตลาดคอนซูเมอร์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 ของแบรนด์ หลังจากช่วงแรกเคยทำฟีเจอร์โฟนจำหน่าย หลังจากนั้นเริ่มทำสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ อัลคาเทล วันทัช ที่ให้กลุ่มทุนจากจีนมาช่วยทำตลาด และล่าสุดก็กลับมาในแบรนด์ อัลคาเทล ผ่านการชูจุดเด่นเรื่องนวัตกรรมดี ราคาโดน
นิโคล่า ซิเบล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีซีแอล คอมมูนิเคชั่น (ฮ่องกง) จำกัด บอกว่า หลังจากแบรนด์ อัลคาเทล หายไปจากตลาดระยะหนึ่ง เพราะก่อนหน้านั้นเน้นทำตลาด และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่การกลับมาครั้งนี้ จะปูพรมทำตลาดออฟไลน์เต็มรูปแบบ ผ่านการติดต่อร้านลูกตู้นำสินค้าไปจำหน่าย, วางอยู่ในค้าปลีกโทรศัพท์มือถือชั้นนำ เช่นทีจีโฟน และเจมาร์ท ที่สำคัญยังร่วมกับโอเปอเรเตอร์ เริ่มต้นที่ เอไอเอส ผ่านการนำสมาร์ทโฟนรุ่น Shine Lite ที่ราคาปกติ 5,990 บาท ลดเหลือ 3,990 บาท เมื่อสมัครแพ็คเกจ 399 บาท
ปรับภาพลักษณ์หวังดึงกระแสกลับมา
“การร่วมกับโอเปอเรเตอร์ อัลคาเทล ตั้งเป้าขึ้นเป็นยอดขายท็อป 5 ของเอไอเอสให้เร็วที่สุด ส่วนการขายในช่องทางทั่วไป จะชูเรื่องการออกแบบ, คุณภาพ และฟีเจอร์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น และวัยทำงานเริ่มต้น ผ่าน 10 รุ่น ที่ราคา 3,990 – 13,990 บาท หรือกลางล่าง แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งช่องทางออนไลน์ ที่ก่อนหน้านี้ช่วงให้เราติดตลาดระยะหนึ่ง เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันใช้สื่อออนไลน์เป็นหนึ่งในการตัดสินใจ ดังนั้นเราจึงต้องปรับทีมงานใหม่ รวมถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อดึงกระแสกลับมาให้เร็วที่สุด”
เช่นเดียวกับ แซดทีอี อีกแบรนด์อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เข้ามาทำตลาดกับคอนซูเมอร์ แต่เมื่อ 11 ปีก่อน ถึงปัจจุบันก็ทำตลาดนี้อยู่แล้ว ผ่านการรับผลิตเครื่องให้กับแบรนด์ต่างๆ รวมถึงโอเปอเรเตอร์ ทำให้รู้ตลาดตอนนี้เป็นอย่างดี ว่าเครื่องแบบไหนขายดี แบบไหนตอบโจทย์ด้านการลงทุน ดังนั้นจึงลงมาทำตลาดสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ แซดทีอี ตั้งแต่ปลายปีก่อนเองบ้าง แต่สุดท้ายก็หายไป ไม่ทราบด้วยเหตุผลอะไร แต่ในตอนนี้ทางแบรนด์ แซดทีอี ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมแต่งตั้ง มาริโอ เมาเร่อ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของแบรนด์
ความเชี่ยวชาญช่วย “แซดทีอี” ชนไฮเอนด์
เจเรมี จ้าว ประธานบริษัท แซดทีอี ดีไวซ์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่าให้ฟังว่า ในปี 2558 ทำตลาดสมาร์ทโฟนมาทั้งหมด 10 รุ่น แต่ยังไม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้ใช้ จึงส่งรุ่นไฮเอนด์ตระกูล Axon ราคา 11,990 – 15,990 บาท ตั้งเป้ายอดขายที่ 50,000 เครื่อง และเตรียมทำโปรโมชั่นกับโอเปอเรตอร์ เริ่มต้นที่ เอไอเอส เช่นกัน พร้อมกับการตั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์มาช่วยทำตลาด ถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่สำคัญ เพราะก่อนหน้านี้หลายแบรนด์ตั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์ และส่วนใหญ่สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
สรุป
ถ้าเทียบแบรนด์ใหญ่กับแบรนด์รองในตลาดสมาร์ทโฟน แบรนด์ใหญ่อาจได้เปรียบเรื่องการรับรู้ของผู้บริโภค และถ้าแบรนด์เล็กต้องการมีส่วนแบ่งในเค้กก้อนนี้ ก็จำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้ได้เร็วที่สุด แต่เท่าที่เห็นตอนนี้เหมือนวนเรือในอ่าง หรือยังหาแผนการตลาดที่สร้างการรับรู้ไม่ได้เสียที จนส่วนแบ่งตลาดตั้งแต่อันดับ 3 ลงไป แทบจะไกล้เคียงกัน และคงต้องรออีกหลายปีกว่าจะทิ้งห่างกันชัดเจน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา