ปัจจุบัน อายิโนะโมะโต๊ะ คือผู้นำของตลาดผงชูรส หรือ MSG ในประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 93.3% ของมูลค่าตลาดที่ 15,000 ล้านบาท รวมถึงในตลาดผงปรุงรสก็เป็นผู้นำในตลาดเบ็ดเสร็จเช่นกันผ่านสินค้าแบรนด์ รสดี ด้วยส่วนแบ่งตลาด 89.5% จากมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท
แต่ด้วยทั้งสองตลาดนี้มีอัตราการเติบโตเพียง 1-3% ต่อปีเท่านั้น การจะเป็นผู้นำเฉย ๆ คงจะช่วยให้ภาพรวมธุรกิจของ อะยิโนะโมะโต๊ะ เติบโตได้ยาก ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสจากญี่ปุ่นจึงเตรียมส่งแผนใหม่เพื่อขับเคลื่อนให้ยอดขายเพิ่มขึ้น นั่นคือการทำให้ทั้งสองสินค้านั้นมีอัตราการถูกใช้งานที่ถี่กว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นการทำให้มีการใช้งานในหลากหลายเมนู หรือการส่งผงปรุงรสรสชาติใหม่ ๆ ออกมา แต่แค่นั้นยังไม่พอ อะยิโนะโมะโต๊ะ ยังเร่งขยายธุรกิจใหม่ เช่น อาหารเสริม และบริการสุขภาพ เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ ส่วนแผนโดยละเอียดจะเป็นอย่างไร ทีมงาน Brand Inside ได้รวบรวมไว้ให้ดังนี้
เป็นผู้ขับเคลื่อนผงชูรส และผงปรุงรส
อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า ในปีปฏิทิน 2024 (เม.ย. 2024-มี.ค. 2024) บริษัทยังคงเป้าหมายรักษาความแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าผงปรุงรส และผงชูรส เช่นเดิม แม้ปัจจุบันเกือบทุกครัวเรือนในประเทศไทยจะใช้งานสินค้าดังกล่าวเป็นประจำอยู่แล้ว
“เมื่อใช้เกือบทุกบ้าน ดังนั้นการเพิ่มความถี่ในการให้พวกเขาใช้งานคือวิธีสำคัญในการขับเคลื่อนให้ตลาดนี้เติบโต โดยในฐานะผู้นำตลาดเราจะมีการสื่อสารให้ผงชูรส และผงปรุงรสสามารถใช้งานในเมนูอาหารต่าง ๆ ได้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการทำรสชาติใหม่ของผงปรุงรสออกมาเพื่อเพิ่มโอกาสการใช้งานเช่นกัน”
ปีปฏิทิน 2023 บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด มีรายได้รวม 32,000 ล้านบาท มาจากสินค้าปรุงรส (ผงชูรส และผงปรุงรสรสดี) 40%, สินค้าอาหาร (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ, กาแฟเบอร์ดี้ และอาหารเสริม) 40% สินค้าเพื่อการพาณิชย์ 15% และอื่น ๆ 5% ปีปฏิทิน 2024 บริษัทยังตั้งเป้าเติบโต แต่ไม่เปิดเผยอัตราการเติบโต
ขึ้นอันดับ 2 สินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดของแต่ละสินค้าจะพบว่า ผงชูรสอะยิโนะโมะโต๊ะ ครองส่วนแบ่งตลาด 93.3% จากมูลค่าตลาด 15,000 ล้านบาท, ผงปรุงรส เช่น แบรนด์รสดี ครองส่วนแบ่งตลาด 89.5% จากมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท, กาแฟพร้อมดื่มเบอร์ดี้ ครองส่วนแบ่งตลาด 53.5% และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำก้าวขึ้นอันดับที่ 2 ของตลาด
“ด้วยตลาดผงชูรสยังเติบโต 1-3% แล้วแต่ปี แต่ระยะหลังยอดขายจากฝั่งร้านอาหารเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และกลายเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนตลาดในตอนนี้ จากก่อนหน้านี้ช่วงโรคโควิด-19 มีการทำอาหารที่บ้านมากขึ้น ช่วยขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตไปก่อนแล้ว”
อิชิโระ ซะกะกุระ เสริมว่า ในส่วนปัจจัยเรื่องสุขภาพ ปัจจุบันคนไทยบริโภคโซเดียมเป็นอันดับ 1 ของโลก และบริษัทมีส่วนช่วยลดการบริโภคโซเดียมลงได้ ผ่านการใช้สินค้าผงชูรสที่หากรับประทานอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการบริโภคโซเดียมลง 1 ใน 3 จากอัตราปัจจุบัน
ลงทุน 4,400 ล้านบาท เพิ่มความแข็งแกร่งให้บริษัท
ภายใต้แผนธุรกิจปีปฏิทิน 2024 อะยิโนะโมะโต๊ะ มีแผนลงทุน 4,400 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2024-2030 โดยเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต และการดำเนินธุรกิจให้ลดการเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น การช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังให้มีคุณภาพการผลิตที่ดีขึ้น, ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้น้ำที่ไม่จำเป็น
ขณะเดียวกันบริษัทยังวางแผนในการควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และมีแผนปรับขึ้นราคาสินค้าผงชูรสขนาดใหญ่ 4% ประกอบด้วยขนาด 250 กรัม, 500 กรัม , 1 กิโลกรัม และ 3 กิโลกรัม เป็นต้น
หนึ่งในนั้นคือการขายหุ้นในโรงงาน อายิโนะโมะโต๊ะ เบทาโกร สเปเชียลตี้ ฟู้ดส์ จํากัด หรือ ABS ที่ถืออยู่ให้กับกลุ่มเบทาโกรทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท เพื่อลดจำนวนโรงงานสินค้าอาหารแช่แข็งในไทยจาก 3 แห่ง เหลือ 2 แห่ง ตามแผนบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นที่ต้องการลดจำนวนสินทรัพย์ที่ถืออยู่
ขายอาหารเสริมผ่านการเปิดตัวสินค้านับ 10 ตัว
นอกจากการรักษาความแข็งแกร่งของสินค้าดั้งเดิม และลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อะยิโนะโมะโต๊ะ ยังเตรียมทำตลาดสินค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อาหารเสริมสำหรับนักกีฬา และผู้สูงอายุ เนื่องจากตลาดนี้มีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท และเติบโต 5-10% ทุกปี จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ
วันนเรศวร์ สุขีลักษณ์ ผู้จัดการแผนกธุรกิจใหม่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า ในปีปฏิทิน 2024 จะเปิดตัวสินค้าเกี่ยวกับการนอนหลับ และความสวยงามเพิ่มเติม และสิ้นปีปฏิทินจะมีสินค้ารวมกว่า 10 ตัว (SKUs)
ควบคู่ไปกับการลงทุนกว่า 10 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแอปพลิเคชัน i-LiveWell แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพ ที่เน้นทำตลาดกับลูกค้าองค์กร ผ่านราคาบัญชีละ 100 บาท/เดือน ในกรณีที่มีพนักงานหลัก 100 คน เพื่อ ตรวจสอบสุขภาพของพนักงาน โดยเบื้องต้นตั้งเป้าภายในปฏิทิน 2025 จะมีผู้ใช้งาน 3,000 คน และเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลต่าง ๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา