ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ AIS ดึงรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนสังคมดิจิทัลปลอดภัยอย่างยั่งยืน

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ถาโถมเข้าสู่ทุกภาคส่วนของสังคมไทยอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าประโยชน์และความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีมอบให้นั้น มาพร้อมกับความท้าทาย และความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ภัยไซเบอร์ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ และความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง

จากข้อมูลสถิติการแจ้งความออนไลน์ที่น่าตกใจ ซึ่งรวบรวมตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2568 พบว่ามีคดีออนไลน์สะสมสูงถึง 858,508 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 89,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหายมากถึง 78 ล้านบาทต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ภัยคุกคามทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ได้แทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวันและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในหลากหลายรูปแบบ

จุดนี้เอง บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS ได้แสดงบทบาท และความรับผิดชอบต่อสังคม โดยประกาศความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการรวมพลังเครือข่ายความปลอดภัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

AIS

หน่วยงานรัฐกับหน้าที่สำคัญในการป้องกัน

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรับมือกับภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อประชาชน และได้ดำเนินงานเชิงรุกภายใต้ปฏิบัติการ Seal Stop Safe ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านนโยบาย การปฏิบัติ และความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงมาตรการสำคัญ เช่น การซีลชายแดนเพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การแก้ไขกฎหมายควบคุมบัญชีม้า และซิมม้า

รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กระทรวงดิจิทัลฯ, ธนาคารพาณิชย์, บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ทั้งยกระดับนโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์สู่ระดับชาติ และการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ซึ่งถือเป็นภารกิจร่วมของคนไทยทุกคน

ขณะเดียวกัน พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเสียหายทั้งในด้านข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินเป็นมูลค่ามหาศาล สถิติการแจ้งความออนไลน์ล่าสุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 พบว่ามีคดีออนไลน์สูงถึง 887,315 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 89,000 หมื่นล้านบาท

หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยความเสียหายถึง 77 ล้านบาทต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันปลอม การดูดเงินจากบัญชี หรือการขโมยข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับมาตรการป้องกันและแก้ไขในทุกมิติอย่างเร่งด่วน บช.สอท. จึงดำเนินการเชิงรุกทั้งในด้านการป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาโครงสร้างการทำงาน เช่นการจัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเปิดปฏิบัติการเชิงรุก

พร้อมทั้งนำเทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ธุรกรรมมาใช้ในการติดตามเส้นทางการเงินของกลุ่มอาชญากร นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS ในการเชื่อมโยงการทำงาน และขยายผลสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าการยกระดับความร่วมมือสู่ ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ปลอดภัยจากภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน

AIS อาสาผนึกรัฐ-เอกชน ช่วยเหลือ

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของ AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานสู่โลกออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และทักษะออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ภารกิจ Cyber Wellness for THAIs เพื่อส่งเสริมการใช้งานที่ปลอดภัย ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ การควบคุมระดับเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดน การปฏิบัติการร่วมกับตำรวจในการปราบปรามมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์

รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ อาทิ บริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center และบริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ และการสร้างตัวชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัล แต่การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง เพราะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ดังนั้น “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ครั้งนี้จึงเป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ประกอบด้วย

  • เรียนรู้ (Educate): สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายในทุกภาคส่วน (Ecosystem) เพื่อยับยั้งปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
  • ร่วมแรง (Collaborate): ผนึกกำลังกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม
  • เร่งมือ (Motivate): รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ด้วยโมเดลความร่วมมือ “3 ประสาน” นี้ AIS มีเป้าหมายที่จะเชิญชวนหน่วยงานกว่า 100 องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้ามาร่วมบูรณาการการทำงาน เพื่อป้องกัน และลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง เพื่อร่วมกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายสร้างประชากรที่ใช้งานดิจิทัลอย่างชาญฉลาดกว่า 3 ล้านคน เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ความเข้าใจใหักับผู้อื่น และสร้างสังคมดิจิทัลที่มีคุณภาพได้อย่างปลอดภัย และยั่งยืน

Brand Inside มองว่า การประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง AIS และหน่วยงานภาครัฐในการขับเคลื่อน ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงความตระหนักและความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างจริงจัง การบูรณาการความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานกำกับดูแล จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกัน ปราบปราม และลดผลกระทบจากอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนโมเดล 3 ประสาน ที่ AIS นำเสนอ ถือเป็นแนวทางที่ครอบคลุม และให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ การทำงานร่วมกัน และการผลักดันมาตรการที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน การเชิญชวนหน่วยงานกว่า 100 องค์กรเข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งและครอบคลุมทุกภาคส่วน เพราะการเดินหน้าโครงการนี้ไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยการร่วมมือกันทุกภาคส่วน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา