เครื่องบินซูเปอร์จัมโบ้ Airbus A380 ได้รับความนิยมอย่างมากในระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา (เปิดตัวอย่างเป็นทางการปี 2007) เพราะสายการบินก็สามารถจุผู้โดยสารได้มาก แถมบินได้ไกล ผู้โดยสารก็สะดวกสบายกับที่นั่งที่กว้างขวางขึ้น บินนิ่มขึ้น และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้น (ที่นั่งชั้นหนึ่งถึงขนาดมีห้องอาบน้ำในตัว)
ช่วงแรก สายการบินทั่วโลกต่างกันช่วงชิงคิวจอง A380 จนผลิตไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง A380 กลับมียอดขายน้อยลง ปัจจุบัน Airbus ผลิต A380 มาขายได้เพียง 193 ลำ และยังอยู่ในคิวอีก 126 ลำ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เคยพยากรณ์ว่าจะขายได้ถึง 1,200 ลำ (ราคาขายลำละ 433 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท)
เหตุผลที่ A380 ขายได้น้อยลง มีทั้งปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงราคาน้ำมันที่เคยพุ่งสูงในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เหตุผลสำคัญคือทิศทางของอุตสาหกรรมสายการบินเองก็เปลี่ยนจากการซื้อเครื่องบินจัมโบ้เจ็ต ไปใช้เครื่องบินที่มีขนาดเล็กลงที่ประหยัดน้ำมันกว่าแทน
Boeing คู่แข่งของ Airbus และอดีต “เจ้าพ่อ” เครื่องบินจัมโบ้เจ็ตรุ่น 747 ในอดีต ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับ Airbus โดยขายเครื่องบินจัมโบ้รุ่นล่าสุด 747-8 ได้เพียง 40 เครื่องเท่านั้น ในขณะที่เครื่องบินไซส์ขนาดกลางอย่าง Airbus A330 และ Boeing 777 กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ลูกค้าหลักของ Airbus A380 คือ Emirates สายการบินรายใหญ่จากตะวันออกกลาง ที่มีเครื่องรุ่นนี้มากถึง 142 ลำ ในขณะที่อันดับสอง Singapore Airlines มีเพียง 24 ลำ และ Qatar Airways มีเพียง 20 ลำ
ข้อมูลจาก Bloomberg
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา