ท่ามกลางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเอเชียที่ร้อนแรงขึ้นทุกปี และกระแสข่าวที่บอกว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกำลังอยู่ในช่วงชะลอตัว

Agoda ออกรายงานข้อมูลเทรนด์การท่องเที่ยวปี 2567 ซึ่งสะท้อนจังหวะการฟื้นตัวของตลาดไทย พร้อมมุมมองของผู้บริหารที่เห็นทั้งโอกาส และข้อจำกัดที่ไทยต้องรับมืออย่างจริงจังในระยะต่อไป
แม้ไทยยังเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุดของ Agoda แต่การแข่งขันในภูมิภาคกลับเข้มข้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน นักเดินทางมีตัวเลือกมากขึ้น และหลายประเทศเร่งสร้างจุดขายใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ไทยต้องคิดยาวกว่าที่เคย และเตรียมกลยุทธ์รับมือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโลก
คนไทยหันมาเที่ยวเมืองรองมากขึ้น
‘อรรคพร รอดคง’ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย Agoda ระบุว่า ไทยยังเป็นตลาดอันดับต้นของบริษัท และ ‘กรุงเทพมหานคร’ ยังคงเป็นปลายทางอันดับหนึ่งบนแพลตฟอร์มทั่วโลก ซึ่งสะท้อนว่า ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวยังแข็งแรง
แต่การเติบโตนี้ มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่ต้องจับตา โดยเฉพาะเมื่อชนชั้นกลางในเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถเดินทางต่างประเทศได้บ่อยขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายส่วนรวมของทริปต่างประเทศบางแห่งถูกลงจนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการเที่ยวภายในประเทศของตนเอง
ตลาดในประเทศยังขยายตัวดี คนไทยกว่า 66% วางแผนเดินทางมากกว่าปีก่อน จุดเด่นยังเป็นการเดินทางระยะสั้น 1-3 วัน สอดคล้องกับจำนวนวันหยุดที่เอื้อให้เที่ยวได้ง่าย
‘เมืองรอง’ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะนักเดินทางมองว่าเข้าถึงง่าย คุ้มค่า และมีข้อมูลรีวิวมากขึ้น ‘นครศรีธรรมราช’ และ ‘หาดใหญ่’ เป็นสองตัวอย่างของเมืองที่มาแรงที่สุดในปีนี้
ส่วนการใช้จ่ายด้านที่พักยังอยู่ในระดับใกล้เคียงปีที่แล้ว โดย 44% ใช้งบไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน และอีก 40% อยู่ในช่วงระหว่าง 1,601-3,200 บาท ขณะที่กิจกรรมยอดนิยมยังเป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัว เช่น ‘ซาฟารีเวิลด์’ ‘ดรีมเวิลด์’ และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติใน ‘เชียงใหม่’ และ ‘ภูเก็ต’
ต่างชาติมีตัวเลือกมากขึ้น
ฝั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมีความเคลื่อนไหวหลากหลาย ‘มาเลเซีย’ ขึ้นเป็นประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด แซง ‘จีน’ ในปีนี้ แต่จีนยังเป็นตลาดที่ทั่วโลกจับตามองเพราะมีศักยภาพเติบโตอีกมาก
‘Omri Morgenshtern’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Agoda มองว่า ความต้องการเดินทางจากจีนยังคงแข็งแรง และมีแนวโน้มกลับมามากขึ้นในระยะยาว เพราะไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักเดินทางชาวจีน
แต่ ‘Omri’ มองว่าไทยไม่ควรพึ่งพาจีนเพียงตลาดเดียว เพราะอินเดีย เกาหลีใต้ และมาเลเซียกำลังเติบโตเร็ว และมีศักยภาพเป็นฐานนักท่องเที่ยวระยะยาวได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ ‘อินเดีย’ ซึ่งเติบโตชัดเจนจากการเพิ่มเที่ยวบิน และการผ่อนคลายเรื่องวีซ่า
พฤติกรรมนักเดินทางต่างชาติยังเปลี่ยนไปจากเดิม ‘อรรคพร’ อธิบายว่า นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ไม่ได้เลือกมาไทยเพื่อพักผ่อนเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มให้ความสำคัญกับอาหาร วัฒนธรรม และประสบการณ์ทางจิตวิญญาณมากขึ้น แนวโน้มนี้เกิดขึ้นทั้งในไทย และหลายประเทศในอาเซียนที่พยายามพัฒนาแบรนด์ท่องเที่ยวใหม่เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้
อีกปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงคือ ‘ราคา’ การเติบโตของชนชั้นกลาง ทำให้ผู้คนมีทางเลือกมากขึ้น เมืองรองในต่างประเทศบางแห่งมีค่าใช้จ่ายรวมที่ถูกกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักในไทย ส่งผลให้ดีมานด์บางส่วนไหลออกไป ไทยจึงต้องสร้างประสบการณ์ที่คุ้มค่า และแข่งขันได้จริง
ด้าน ‘Omri’ ระบุว่า ประเทศที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ราคาจับต้องได้ จะได้เปรียบอย่างมากในยุคนี้ โดยไทยเองก็มีพื้นฐานที่แข็งแรงในด้านนี้ แต่ต้องพัฒนาประสบการณ์ และกิจกรรมให้ครบวงจรขึ้น และควรคิดล่วงหน้าถึงการสร้างเหตุผลใหม่ให้ผู้คนเดินทาง
เช่น การผลักดันงานอีเวนต์ระดับนานาชาติ ซึ่งเริ่มเห็นมากขึ้นในปีนี้ และเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน
ปัญหาภาพลักษณ์ของไทย
‘Omri’ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุการณ์ด้านความปลอดภัย และข่าวลบที่เกิดขึ้นในไทย แม้จะดูเล็กในมุมมองคนไทย แต่เมื่อถูกเผยแพร่ผ่านสื่อระดับโลกจะส่งผลต่อการตัดสินใจของนักเดินทางทันที
นักท่องเที่ยวยุคนี้มีตัวเลือกมากขึ้นกว่าที่เคย โดยเฉพาะในอาเซียนที่หลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องจัดการภาพลักษณ์อย่างจริงจัง และสื่อสารด้านความปลอดภัยให้ชัดเจน
‘Omri’ พูดถึงสิ่งที่ไทยทำได้ดีเช่นกัน คือการกระจายความเสี่ยงของตลาดนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ ข้อมูลของ Agoda พบว่า ประเทศต้นทางสามอันดับแรกที่เดินทางเข้าไทยมีสัดส่วนรวมเพียง 35% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ทำให้ไทยมีความยืดหยุ่นสูงกว่าประเทศท่องเที่ยวใหญ่ในภูมิภาค และลดความเสี่ยงจากวิกฤตทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขาเชื่อว่านี่คือผลลัพธ์จากการวางแผนล่วงหน้า เช่นการยกเว้นวีซ่าให้กับอินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งช่วยกระตุ้นดีมานด์ได้อย่างเห็นผล
ท้ายที่สุด ‘Omri’ ฝากข้อคิดถึงผู้กำหนดนโยบายว่า ความสำเร็จด้านการท่องเที่ยว ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการวางแผนล่วงหน้าเป็นปี และการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้เวลาสร้าง
ซึ่งรัฐบาลไทยและ ททท. เริ่มเดินมาถูกทางแล้ว และควรสานต่ออย่างจริงจัง เพราะการแข่งขันในภูมิภาคกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้มากกว่านี้ หากวางตำแหน่งประเทศให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักเดินทางรุ่นใหม่ และแนวโน้มตลาดในระยะยาว
- อีกไม่เกิน 10 ปี ‘เวียดนาม’ อาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแซง ‘ไทย’
- คนจีนแห่เที่ยว ‘เวียดนาม’ แซงไทย ปัญหาจริงๆ ที่ ‘นักท่องเที่ยว’ หายไป อาจเป็นความปลอดภัยและสแกมเมอร์?
ที่มา: สัมภาษณ์กลุ่มประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Agoda
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา