Agoda ปักธงไทยเป็น Tech Hub ใช้ AI หนักระดับโลก ดันบทบาทจากแพลตฟอร์มสู่ผู้ช่วยท่องเที่ยว

Agoda กำลังขยับบทบาทของตัวเองจากแพลตฟอร์มจองที่พัก ไปสู่บริษัทเทคโนโลยีเต็มตัว

หนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญของภาพนี้คือ ‘ประเทศไทย’ โดยเฉพาะเรื่องการใช้ Generative AI ที่ไม่ได้หยุดแค่ฝั่งผู้ใช้ แต่ลึกไปถึงโครงสร้างการทำงานทั้งองค์กร

‘อรรคพร รอดคง’ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย Agoda บอกว่า นักเดินทางชาวไทยเปิดรับ AI มากกว่าที่หลายคนคิด โดยกว่า 69% มีแนวโน้มใช้ AI เพื่อวางแผนทริปครั้งต่อไป และ 57% เชื่อถือข้อมูลที่ AI สร้างขึ้น

ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า คนไทยไม่ได้มอง AI เป็นแค่ของใหม่ แต่เริ่มใช้เป็น ‘ผู้ช่วยคิด’ จริงจัง ตั้งแต่ขั้นตอนหาข้อมูลไปจนถึงตัดสินใจจอง

ในฝั่งองค์กรเอง ‘Omri Morgenshtern’ ซีอีโอ Agoda มองว่าไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ มีศักยภาพจะเป็น ‘ศูนย์กลางเทคโนโลยี’ ของภูมิภาคได้จริง

ปัจจุบัน Agoda มีพนักงานสายเทคโนโลยีราว 4,000 คนในไทย ทั้งกรุงเทพ และภูเก็ต และยังตั้งใจขยายต่อเนื่อง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจให้กว้างกว่าแพลตฟอร์มท่องเที่ยวแบบเดิม

ความเชื่อมั่นนี้เห็นได้ชัดจากการลงทุนสำนักงานแห่งใหม่ใน ‘One Bangkok Tower 5’ เช่าพื้นที่กว่า 26,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 7 ชั้น ทำให้ Agoda เป็นหนึ่งในผู้เช่าพื้นที่สำนักงานรายใหญ่ที่สุดของโครงการ โดยมีกำหนดการย้ายอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2569

‘Omri’ เสริมว่า Agoda ไม่ได้มองการย้ายไป One Bangkok เป็นแค่การเปลี่ยนออฟฟิศ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการลงทุนระยะยาวในไทย เพื่อผลักดันให้กรุงเทพกลายเป็น ‘Tech Center’ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงาน และสนับสนุนการพัฒนาชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน

ในแง่การใช้ AI Agoda ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้งานหนักมาก ได้รับการยกย่องจาก OpenAI จากการประมวลผลโทเคนมากกว่า 1 ล้านล้านโทเคน ซึ่งอยู่ในกลุ่มบริษัทระดับโลกไม่กี่สิบแห่ง และแทบจะเป็นรายเดียวในไทยที่ใช้งาน AI ในสเกลนี้

ที่น่าสนใจคือ Agoda ไม่ได้ยึดโมเดลเดียว แต่เลือกใช้หลายโมเดลควบคู่กัน เพื่อให้เหมาะกับงานแต่ละแบบ

การนำ Generative AI มาใช้ของ Agoda เริ่มจากการจัดการงานภายในก่อน เพื่อให้ทีมทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพขึ้น ตั้งแต่งานวิศวกรรม การเงิน กฎหมาย ไปจนถึงการตรวจจับที่พักที่อาจเข้าข่ายฉ้อโกง

ปัจจุบัน Agoda มีแอปพลิเคชัน Generative AI ใช้งานภายในมากกว่า 200 เคส ครอบคลุมแทบทุกแผนก โดยเปิดทางให้ทั้งผู้บริหารกำหนดทิศทาง และวิศวกรลุกขึ้นมาสร้างโซลูชันจากไอเดียของตัวเอง

เมื่อระบบภายในแข็งแรง เป้าหมายต่อไปคือฝั่งผู้ใช้งาน Agoda วางภาพอนาคตของตัวเองไว้ที่การเป็น Personal Travel Assistant ที่ดูแลนักเดินทางตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ระหว่างทริป ไปจนถึงเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด

ฟีเจอร์ที่เริ่มเห็นผลแล้วคือ ‘Property Bot’ ซึ่งตอบคำถามเกี่ยวกับที่พักได้มากกว่า 30,000 ครั้งต่อวัน และช่วยลดภาระทั้งฝั่งลูกค้า และที่พักไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ Agoda ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้า B2B มากขึ้น เพราะช่วยเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้จองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์โดยตรง เช่น ตัวแทนท่องเที่ยวออฟไลน์ หรือผู้ใช้คะแนนสะสมจากบัตรเครดิต และสายการบิน ซึ่งบริษัทมองว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

ขณะเดียวกัน Agoda ยังมองไปไกลถึงธุรกิจ Fintech เพราะการเดินทางมักเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ และเต็มไปด้วยความยุ่งยากเรื่องการชำระเงินข้ามประเทศ ลูกค้าเองก็คาดหวังบริการที่ยืดหยุ่น และแฟร์มากขึ้น

ซึ่ง Agoda เชื่อว่า บริษัทสามารถขยับไปสู่จุดนั้นได้ แต่ต้องเดินอย่างรอบคอบภายใต้กรอบกฎหมายของแต่ละประเทศ

ที่มา: สัมภาษณ์กลุ่มประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Agoda

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา