[ลือ] อาดิดาส ครองพรีเมียร์ลีก! ลิเวอร์พูลไม่ต่อสัญญาไนกี้ ส่อแววแบรนด์เมกันไร้ที่ยืนในลีกสูงสุด

ลิเวอร์พูล เตรียมกลับมาสวมใส่เสื้อแบรนด์ อาดิดาส อีกครั้งในฤดูกาล 2025-26 เหตุทางสโมสรไม่ต่อสัญญากับ ไนกี้ หลังสวมใส่ยาวนาน 5 ฤดูกาลต่อเนื่อง ส่อแววแบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกันไร้ที่ยืนในลีกฟุตบอลสูงสุดของอังกฤษ เพราะฤดูกาล 2024-25 มีทีมสวมใส่ เพียง 4 ทีม เป็นรองอาดิดาสที่มีทีมสวมใส่ถึง 7 ทีม

Nike
ภาพ Nike

อาดิดาส เตรียมเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลอีกรอบ

เว็บไซต์ Footy Headlines รายงานว่า ทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลเตรียมเซ็นสัญญากับอาดิดาสเพื่อสวมใส่ชุดกีฬาของแบรนด์ดังกล่าวตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 เป็นต้นไป โดยการประกาศอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นช่วงเดือน ม.ค. 2025 พร้อมกับรายละเอียดของระยะเวลาสัญญา

ปัจจุบันลิเวอร์พูลสวมใส่ชุดกีฬาของไนกี้ผ่านการเซ็นสัญญาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ฤดูกาลจนถึงปี 2024-25 และยังไม่มีข่าวต่อสัญญาใด ๆ หลุดออกมา ส่วนการกลับมาสวมใส่แบรนด์อาดิดาสอีกครั้งของลิเวอร์พูลนั้นเกิดขึ้นในรอบ 13 ปี และเป็นครั้งที่ 3 ของทีมในการเซ็นสัญญากับอาดิดาส

มีการคาดการณ์ว่า ดีลระหว่างลิเวอร์พูลกับอาดิดาสจะกินเวลา 5 ฤดูกาล หรือตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 ไปถึง 2029-30 และดีลนี้จะมีมูลค่ามากกว่าที่ไนกี้จ่ายให้กับทีมลิเวอร์พูลที่จ่ายอยู่ราว 30 ล้านปอนด์/ปี หรือราว 1,300 ล้านบาท รวมกับอีก 20% ของค่าลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ของแบรนด์โดยไม่รวมกับกลุ่มสินค้ารองเท้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฤดูกาล 2024-25 ในลีกฟุตบอลสูงสุดของอังกฤษ หรือ English Premier League มีทีมสโมสรที่สวมใส่ชุดกีฬาของอาดิดาสถึง 7 ทีม กินสัดส่วนมากที่สุดของลีก โดยมีทีมใหญ่ เช่น อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สวมใส่

ส่วน ไนกี้ ที่พยายามบุกตลาดฟุตบอลอังกฤษมาอย่างยาวนานผ่านการเป็นผู้สนับสนุนลูกฟุตบอลของลีกสูงสุดตั้งแต่ฤดูกาล 2000-01 จนถึงปัจจุบัน กลับมีทีมที่สวมใส่ชุดกีฬาเพียง 4 ทีม โดยมีทีมใหญ่คือ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, เชลซี และลิเวอร์พูล ซึ่งหากไนกี้เสียลิเวอร์พูลไปตามข่าวจริง ย่อมเสียพื้นที่ยืนในลีกฟุตบอลอังกฤษมากขึ้นเช่นกัน

สิ้นไตรมาส 2 ปี 2024 อาดิดาสมียอดขายรวม 5,822 ล้านยูโร หรือราว 2.16 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 9% มาจากรองเท้า 61%, เครื่องแต่งกาย 33% และอื่น ๆ 6% ส่วนไนกี้ในไตรมาสสุดท้ายของบริษัท (มี.ค.-เม.ย. 2024) มีรายได้รวม 12,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.25 แสนล้านบาท

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา