ปัจจุบันองค์กรต่างๆ เริ่มใส่ใจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และนั่นก็เป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง Adidas และ Allbirds ที่เตรียมผลิตรองเท้าผ้าใบร่วมกัน โดยรองเท้าผ้าใบคู่นั้นจะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนใดๆ
เริ่มจากโซเชียล สู่เรื่องจริง
ความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง Adidas ได้แท็กชื่อ Allbirds เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการผลิตรองเท้าที่ไม่ปล่อยมลพิษบน Twitter และทาง Allbirds เองก็เข้ามาตอบข้อความ จนสุดท้ายแล้ว Adidas ได้ทำภาพความร่วมมือระหว่าง Adidas กับ Allbirds ออกมา
จากนั้นไม่นานรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง Adidas และ Allbirds ก็ออกมา โดยทั้งคู่มีแผนผลิตรองเท้าร่วมกัน และรองเท้าคู่นั้นจะต้องไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนใดๆ ออกมา หรือ Zero Carbon นั่นเอง เพื่อตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนในอุตสาหกรรมผลิตรองเท้าผ้าใบ
“Adidas ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม แม้วันนี้การผลิตรองเท้าที่ไร้คาร์บอนจะยังไม่เกิดขึ้น แต่บริษัทก็สนใจที่จะรวบรวมนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในบริษัท และพาร์ทเนอร์ เพื่อให้การผลิตรองเท้าที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเกิดขึ้นจริง” James Carnes ประธานกลยุทธ์เกี่ยวกับแบรนด์ของ Adidas
Funny you ask. We’ve been dreaming about a shoe actually… One that doesn’t have a carbon footprint. The thing is, it’s never been done.
— Allbirds (@Allbirds) May 28, 2020
สำหรับรองเท้าที่ Adidas ร่วมมือผลิตกับ Allbirds ยังไม่มีวันวางจำหน่ายที่ชัดเจน แต่มีการระบุว่า รองเท้าผ้าใบที่ร่วมกันผลิตจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพียง 2-3 กก./คู่ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการผลิตรองเท้าผ้าใบปกติที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ราว 12.5 กก./คู่
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ครั้งแรกที่ Adidas หันมาผลิตรองเท้าที่รักสิ่งแวดล้อม เพราะก่อนหน้านี้มีการผลิตรองเท้ากีฬารุ่น Parley ที่นำขวดพลาสติกในทะเลมาผลิต ส่วน Allbirds ถือเป็นแบรนด์รองเท้าที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงการผลิตรองเท้า Allbirds ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนเพียง 7.6 กก./คู่
สรุป
ถือเป็นความร่วมมือที่น่าสนใจ เพราะ Adidas คือผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์กีฬามือาชีพ ส่วน Allbirds คือแบรนด์ที่เข้ามาพลิกวงการรองเท้าผ้าใบด้วยการผลิตแบบรักโลก และมันอาจเป็นความฝันของหลายคนที่อยากสวมใส่รองเท้ากีฬาของ Allbirds จากเดิมที่มีแต่รองเท้าลำลองเท่านั้น
อ้างอิง // CNN
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา