เปิดแผน A-Time Media ทำวิทยุให้อยู่รอดท่ามกลางยุค Digital Disruption

A-Time Media กับการบริหาร 3 คลื่นวิทยุ เผยกลยุทธ์ในการทรานส์ฟอร์มตัวเองให้อยู่รอดท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แถมงบโฆษณาในวิทยุน้อยลงทุกปี

เริ่มปรับคอนเทนต์สู่หลายแพลตฟอร์ม

เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในวงการสื่อ ทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ โดยที่สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่งผลให้งบโฆษณาก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสื่อของผู้บริโภค

สื่อวิทยุมีตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาลดลงเรื่อย ในปี 2018 ตัวเลงขลดล 5% มีมูลค่า 1,758 ล้านบาทจึงเป็นเหตุผลที่หลายคลื่นวิทยุต้องปิดตัวลงหลายรายเพราะไม่สามารถอยู่รอดได้

A-Time Media เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในวงการวิทยุในเครือบริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) บริหาร 3 คลื่นวิทยุ ได้แก่ Green Wave 106.5, E FM 94 และ Chill Online แม้จะบริหารหลายคลื่นแต่ก็ยังอยู่รอดได้เพราะมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมาก็ยังมีการเติบโต 10%

สิ่งที่ทำให้ A-Time Media อยู่รอดได้นั้น เริ่มทรานส์ฟอร์มตัวเอง 2-3 ปีแล้ว มีการหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ไม่ได้จำกัดแค่วิทยุ แต่มีทั้งแอพพลิเคชั่น ออนไลน์ โชว์บิซ และกิจกรรมต่างๆ

สมโรจน์ วสุพงศ์โสธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) เล่าว่า

เราได้ขยับตัวสู่โมเดลธุรกิจ A-Time Media Solution 360 องศาที่เป็นมากกว่าวิทยุ มีการต่อยอดคอนเทนต์ไปในหลายแพลตฟอร์ม ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล ลูกค้าก็ให้การตอบรับดีเพราะมีหลายแพลตฟอร์ม เขาก็รู้สึกคุ้มค่า

สร้างคอนเทนต์ให้ Talk of the Town

นอกจากการจัดรายการวิทยุ A-Time Media ยังมีคอนเทนต์ออนไลน์ที่สร้างกระแสได้พอสมควร ตอนนี้มีทั้งรายการแฉ, จันทร์ช็อคโลก, อังคารคลุมโปง และพุธทอล์คพุธโทร ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับกระแสอย่างดีบนโลกออนไลน์

สมโรจน์บอกว่าเริ่มมีการทำรายการพวกนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เริ่มจากแฉที่เป็นรายการในช่อง GMM 25 มีการต่อยอดคอนเทนต์จากข่าวบันเทิงไปข่าวที่หลากหลาย

แต่ที่เริ่มจริงจังเป็นช่วงปลายปีที่แล้วที่เริ่มทำรายการพุธทอล์พุธโทรอย่างจริงจัง ได้รับการตอบรับที่ดี มีการเอาคอนเทนต์ลงในช่องทางโซเชียลมีเดีย และ YouTube มียอดวิวเฉลี่ย 5 แสนวิวต่อคลิป

ในอนาคตจะมีการต่อยอดคอนเทนต์เหล่านี้ไปยังรายการทีวี หรือจะเป็นซีรส์ ทอล์คโชว์ก็ได้ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขายคอนเซ็ปต์กับแพลตฟอร์มอื่นๆ อยู่

มีดีเจเป็น Influencer

อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของ A-Time Media ก็คือ ดีเจของคลื่นที่เป็นเหล่า Influencer กันเยอะ เป็นแม็กเน็ตดึงดูดคนฟังได้ส่วนหนึ่ง

และอีกส่วนหนึ่งก็คือสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ เพราะสามารถไทน์อินสินค้าได้ เป็นโมเดลที่แบรนด์นิยมใช้เช่นกัน

ในปี 2018 A-Time Media มีรายได้รวม 700 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นวิทยุ 70% และโชว์บิซ 30% ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10% มียอดคนฟังรวมทั้ง 3 คลื่น 16 ล้านคนต่อเดือน

สรุป

เรียกว่าเป็นการหาโมเดลธุรกิจของตัวเองได้เร็ว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาด ทำให้ธุรกิจไม่บาดเจ็บมากนัก

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา