Jeff Bezos มหาเศรษฐีเจ้าของ Amazon ธุรกิจ e-Commerce ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ประกาศบริจาคเงิน 7% ของทรัพย์สินที่มีทั้งหมด หรือราว 791 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท ให้กับองค์ที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน Jeff Bezos ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes โดยมีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.42 ล้านล้านบาท (อ่านการจัดอันดับของ Forbes ได้ที่นี่)
ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Jeff Bezos ประกาศว่าจะบริจาคเงิน 7 % ของทรัพย์สินทั้งหมด หรือคิดเป็น 791 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท ให้กับองค์กรที่แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเงินจำนวนนี้นับว่ามีมูลค่าสูงมากๆ เมื่อเทียบกับการบริจาคเงินของมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ในครั้งที่ผ่านมา
สำหรับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ Jeff Bezos จะบริจาคเงินในรอบแรกให้ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
Environmental Defense Fund เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศสหรัฐอเมริกา จะได้รับเงินบริจาค 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการปล่อยดาวเทียม MethaneSAT ที่มีหน้าที่ในการติดตามปริมาณมลพิษที่เกิดจากแก๊สมีเทน และแก๊สเรือนกระจก โดย Environmental Defense Fund มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยแก๊สมีเทน จากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงทั้งน้ำมัน และแก๊สให้ได้ 45% ภายในปี 2025 นอกจากนี้เงินบริจาคจะใช้สำหรับการศึกษาการกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ภายในป่า ผืนดิน และมหาสมุทรด้วย
The Nature Conservancy องค์กรที่ปกป้องดินแดนและน่านน้ำ ได้รับเงินบริจาค 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อดูแล Emerald Edge พื้นที่ธรรมชาติชายฝั่งทะเลที่มีขนาดใหญ่ ตั้งแต่รัฐวอชิงตัน ถึงรัฐอลาสก้า นอกจากนี้ยังดูแลการลด Carbon Footprint ในประเทศอินเดียด้วย เพราะกิจกรรมด้านการเกษตร เป็นกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ในประเทศอินเดีย
World Resources Institute ได้รับเงินบริจาค 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการสร้างเครื่องมือดาวเทียมตรวจสอบการใช้ที่ดิน การปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การสนับสนุนคนที่ทำงานด้านการฟื้นฟูป่า รวมถึงผลักดันให้รถรับส่งนักเรียนในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในปี 2030
World Wildlife Fund ได้รับเงินบริจาค 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อในการปกป้องป่าโกงกาง ที่เป็นแหล่งกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยปกป้องชายฝั่งจากน้ำท่วม นอกจากนี้ยังใช้เงินบริจาคเพื่อการทำฟาร์มสาหร่ายทะเล โดยเฉพาะการทำการตลาดเพื่อใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลในบางผลิตภัณฑ์
ส่วนองค์กรอื่นๆ มีทั้งองค์กรที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ความเป็นธรรมในด้านสิ่งแวดล้อม และชีววิทยา โดยจะได้รับเงินบริจาคที่ไม่เท่ากัน
ที่มา – Fastcompany
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา