เมื่อกล่าวถึง Loyalty Program นักการตลาดทั้งหลายย่อมรู้กันว่าเป็นอีกเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจรีเทลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะสร้างความรู้สึกจ่ายน้อยได้อย่างมากให้แก่ลูกค้าแล้ว ยังสร้างพฤติกรรมซื้อซ้ำบอกต่อและ Brand Loyalty ในระยะยาว ยิ่งในสถาณการณ์ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและวิวัฒนาการแห่งเทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์จัดการข้อมูลอินไซต์ลูกค้าได้ ยิ่งส่งผลให้การพัฒนา Loyalty Program ไปไกลกว่าแค่เป็นส่วนเสริมการตลาด จนกลายเป็นอีกฟันเฟืองหลักในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับในตลาดประเทศไทย พบว่าหลายแบรนด์จากหลายอุตสาหกรรมเริ่มพัฒนา Loyalty Program ของตัวเองให้ตอบโจทย์อินไซต์ของลูกค้าของตัวเองให้มากที่สุด โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่ม High Spending ที่เป็น Potential Customers ในทุกแบรนด์ ซึ่งหากสามารถสร้าง Loyalty ต่อแบรนด์ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ย่อมสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ต่อไปในระยะยาว และเป็นการยากที่คู่แข่งจะแย่งความเป็น Top of mind นี้ไปได้ ยกตัวอย่างเช่น วงการ Telecommunication อย่าง AIS Serenade ที่มีระดับตั้งแต่ Emerald, Gold จนถึง Platinum แบรนด์ Dtac ที่มี Silver, Gold และ Blue Member วงการบัตรเครดิต อาทิ บัตรเครดิต Citi ที่มีหลากหลายบัตรและเกณฑ์ในการรับเชิญขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้สมัคร และวงการที่เรียกว่าเริ่มทำ Loyalty Program กันมาอย่างยาวนาน อย่างวงการรีเทล ที่ทั้งสามค่ายดัง ทั้งค่าย The Mall ที่มีพรีเมียมเทียร์ชื่อ SCARLET M Card/PLATINUM M Card ที่ต้องได้รับการเรียนเชิญเท่านั้น ค่าย Siam Piwat ที่มีพรีเมียมเทียร์ชื่อ VIZ Card – Black ที่ต้องได้รับการเรียนเชิญเท่านั้น และ VIZ Card – Titanium ที่ต้องช้อป 1,000,000 บาทต่อปี ถึงจะได้รับการอัพเกรด และค่าย Central
เพิ่มการดูแลสมาชิกกลุ่ม High Potential กับ Premium Loyalty Program แรกของ The 1
Central นับเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่คนไทยคุ้นเคยกันดีกับลอยัลตี้โปรแกรมจากกลุ่มในชื่อ The 1 ที่ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 17 ล้านราย มีการใช้งานกว่า 6 แสนครั้ง/วัน Customer Touchpoints กว่า 30,000 แห่งทั่วโลก รวมถึงมีพาร์ทเนอร์ใน Business Ecosystem ครอบคลุมถึง 8 หมวดอุตสาหกรรม ทั้งธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจอุปกรณ์และพื้นที่ทำงาน ธุรกิจเพื่อสุขภาพ ธุรกิจการท่องเที่ยว การเดินทาง และการขนส่ง ธุรกิจเพื่อการอยู่อาศัย ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจการเงิน นอกจากนี้ The 1 ยังได้พัฒนา The 1 Platform และเปิดตัว “New The 1” Digital Lifestyle Platform เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่พร้อมให้สมาชิกเข้าถึงประสบการณ์ต่างๆ แบบ Seamless Experience ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และอีกหนึ่งมูฟเม้นต์สำคัญในปีนี้ ที่ทาง The 1 ตั้งใจพัฒนาเพื่อให้สามารถดูแลสมาชิกได้ดียิ่งขึ้น กับเทียร์โปรแกรมน้องใหม่ The 1 Exclusive พรีเมียมเทียร์ครั้งแรกของ The 1 หลังจากที่ดำเนินการมากกว่า 14 ปี ซึ่งมีอะไรน่าสนใจบ้างมาดูกัน
ผนึกจุดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการสมาชิกพรีเมียม ด้วยสิทธิประโยชน์ในแบบ The 1 Exclusive
ด้วยความเป็นน้องใหม่ในตลาด The 1 Exclusive ก็ได้พัฒนาให้แตกต่างจากพรีเมียมเทียร์โปรแกรมอื่นๆ โดยดึงเอาจุดเด่นขององค์กรมาตอบโจทย์ลูกต้าในยุคนี้มากที่สุด ทั้งการใช้พลังจาก Business Ecosystem ที่มีทั้งจากใน Central Group และพาร์ทเนอร์อื่นๆ ซึ่งมีจุดบริการที่ครอบคลุมหลากหลายสถานที่และมีแบรนด์หลากหลาย ทำให้ The 1 Exclusive สามารถมอบสิทธิประโยชน์ได้ครอบคลุม ไม่ได้จำกัดเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือในแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น
- ส่วนลดพิเศษ ณ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า รวมถึงแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน พาวเวอร์บาย ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท แบรนด์ในกลุ่ม CMG ไทวัสดุ บ้านแอนด์บียอนด์ หรือแม้แต่ห้างในยุโรปของเครืออย่างห้างสรรพสินค้า KaDeWe, Rinascente และ ILLUM ก็ร่วมด้วย
- บริการพิเศษต่างๆ ก็ผนึกกำลังกันทั้งเครือ เช่น ที่จอดรถโซนพิเศษที่ได้เกือบทุกตึกของเซ็นทรัล สิทธิการเข้าเล้าจน์ ฯลฯ
- บริการผู้ช่วยส่วนบุคคล (Personal Assistant) ที่สามารถช่วยจองสินค้า ร้านอาหาร สปา หรือบริการอื่นๆ ที่ไม่ต้องสำรองเงินก่อน ได้ในทุกห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้สมาชิกไม่ต้องนั่งจำว่าร้านไหนต้องโทรหาใคร
ข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ที่สมาชิก The 1 Exclusive จะได้รับ โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ https://www.the1.co.th/the1Exclusive/privileges และบนแอปพลิเคชั่นเพิ่มเติมได้ แต่โดยรวมแล้วมีสิทธิประโยชน์มากกว่า The 1 แบบเดิมแน่นอน
เป็นเทียร์ที่เข้าถึงได้ไม่ยาก เพราะสามารถสะสมยอดใช้จ่ายจากทุกไลฟ์สไตล์
หากจะกล่าวถึงการเป็นสมาชิกโปรแกรมสิทธิประโยชน์ระดับพรีเมียมที่มีอยู่ในตลาดรีเทลตอนนี้ จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นการเรียนเชิญเกือบทั้งหมด หรือไม่ก็มียอดใช้จ่ายที่สูง แต่การที่จะได้รับสถานะ The 1 Exclusive ไม่ได้เกินเอื้อม เพียงมียอดใช้จ่ายสะสมในกลุ่มเซ็นทรัลครบ 250,000 บาท ภายใน 1 ปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 20,833.33 บาทเท่านั้น โดยนับรวมทุกยอดใช้จ่ายของธุรกิจภายใต้เซ็นทรัลรีเทล ยกตัวอย่างเช่น ซื้อสินค้าที่ท็อปส์ สินค้าแต่งบ้านที่บ้านแอนด์บียอนด์ สินค้าแฟชั่นและบิวตี้ที่ห้างเซ็นทรัล เครื่องใช้ไฟฟ้าที่พาวเวอร์บาย เครื่องกีฬาที่ซูเปอร์สปอร์ต หรือแม้กระทั่งสินค้าจากร้านสะดวกซื้ออย่างแฟมิลี่มาร์ท
สะดวกครบจบในแอปพลิเคชั่นเดียว
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ The 1 Exclusive ก็การพัฒนา Customer Experience ผ่าน The 1 Platform ให้มีหน้าตาที่แตกต่างจากสมาชิก The 1 ทั่วไป ซึ่งการรวบรวมรายละเอียดสิทธิประโยชน์ของสมาชิกทั้งหมดมารวมไว้ในที่เดียว และยังสามารถรับสิทธิพิเศษ บริการพิเศษ ของรางวัลและข้อเสนอพิเศษต่างๆ ได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องบัตรสมาชิก เรียกว่าแอปเดียวเอาอยู่
สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็น The 1 Exclusive หรือยัง สามารถเช็กสถานะและยอดใช้จ่ายสะสมได้ด้วยตัวเอง บนแอป The 1 ลองดาวน์โหลดแอปได้เลยที่ https://t1x.onelink.me/XZji/76f9be6b
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา