กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเริ่มมีน้ำหนักในดัชนี S&P 500 เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากบทบาทที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มพลังงานเองก็ลดบทบาทในดัชนีตัวนี้ลงไปเหลือเพียงแค่ 2% เท่านั้น
บริษัทเทคโนโลยีและบริษัทด้านโทรคมนาคมในสหรัฐกำลังมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งล่าสุดทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมเองมีสัดส่วนมากถึงเกือบๆ 40% แล้ว จากผู้ใช้งานที่มีอยู่ทั่วโลก และรายได้ของบริษัทเหล่านี้เองก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐเองก็มีน้ำหนักในดัชนีน้อยลงเรื่อยๆ เหลือเพียงแค่ประมาณ 2% เท่านั้น
กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น E-commerce จนถึงความบันเทิงบนโลกออนไลน์ ที่มีบทบาทเป็นอย่างมาก และเพิ่มบทบาทมากขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลายๆ ตัวนั้นทำราคาสูงสุดใหม่ รวมไปถึงมูลค่าบริษัทที่ทำสถิติใหม่ เช่น กรณีของ Apple ที่มูลค่าบริษัทสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว
แม้ว่าสัดส่วนของหุ้นกลุ่มบริษัทสื่อสาร รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีจะเพิ่มสัดส่วนในดัชนี S&P 500 จะทำลายสถิติเก่าในสมัยยุคฟองสบู่ดอทคอมไปแล้ว แต่ความแตกต่างกับสมัยยุคดอทคอมคือกำไรของบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ถือว่าสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทียบกับสมัยยุคฟองสบู่ดอทคอมที่หลายๆ บริษัทนั้นกลับไม่มีกำไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกของบริษัทอย่าง Google Amazon Netflix กลับมีผู้ใช้งานจริงๆ เมื่อเทียบกับในอดีต
บทวิเคราะห์หลายๆ แห่งเริ่มมองว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากช่วงของ COVID-19 และไม่ได้มองว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ จะมีปัญหาเรื่องฟองสบู่แต่อย่างใด แต่มองว่า Valuation ของหุ้นหลายๆ ตัวในกลุ่มเทคโนโลยีบางตัวอาจแพงเกินไปมากกว่า ไม่เพียงแค่นั้นนักลงทุนเองก็เริ่มสอดส่องหุ้นเทคโนโลยีว่ามีกำไรที่จับต้องได้มากขึ้นหรือเปล่าอีกด้วย
แม้ว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น แต่กลุ่มที่ลดบทบาทในดัชนี S&P 500 ลงไปในช่วงที่ผ่านมาคือกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ที่ประสบปัญหาราคาหุ้นลดลงจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจากผลของความต้องการพลังงานที่ลดลง ซึ่ง IEA คาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันจะลดลงกว่าในปีที่แล้วเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแค่นั้นบทบาทของพลังงานในอนาคตเองก็กำลังจะเปลี่ยนไปจากบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ไปสู่เรื่องของพลังงานสะอาดที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นด้วยเช่นกัน
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไม่ใช่มีแค่ผลกระทบต่อราคาน้ำมันเท่านั้น แต่ผลกระทบในด้านของเศรษฐกิจเองก็กระทบกับกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินในสหรัฐเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน จากปัญหาเรื่องของ NPL ที่กดดัน และสภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ยิ่งทำให้ราคาของสถาบันการเงินใหญ่ลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อเรื่องทำให้สัดส่วนในดัชนี S&P 500 ลดลง
สำหรับดัชนี S&P 500 จะใช้มูลค่าบริษัทเป็นหลักในการถ่วงน้ำหนักดัชนี ถ้าหากบริษัทมีมูลค่าสูงมาก สัดส่วนในดัชนีก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน เช่น ในกรณีของ Apple นั้นมีสัดส่วนในดัชนีนี้ถึงเกือบ 8% แล้ว เราจะเห็นว่าสัดส่วนของบริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยี กับกลุ่มพลังงานรวมไปถึงธนาคาร ยิ่งแตกต่างและถ่างเพิ่มมากขึ้นหลังจากนี้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา