“บุญเติม” ใครหลายๆ คนรู้จักว่านี่คือ ตู้เติมเงินที่ตั้งอยู่หน้า 7ELEVEN และอาจจะมีการแทนที่โดย ตู้เติมเงินของ True โดยปัจจุบัน บุญเติม มีให้บริการกว่า 9 หมื่นตู้ทั่วประเทศ (และอยู่หน้า 7ELEVEN กว่า 8,000 ตู้) แม้จะมีแผนขยายการให้บริการตู้เติมเงินเป็นกว่า 1.2 แสนตู้ในปีนี้ และเป็น 1.7 แสนตู้ในปีถัดไป
แต่ตู้เติมเงินอย่างเดียว คงไม่พอให้ธุรกิจเติบโตต่อไปในอนาคต
Be Wallet น้องใหม่ mobile payment
บุญเติม ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Be Wallet ออกมา เป็น mobile payment น้องใหม่ในตลาดเวลานี้ แม้ว่าตลาดนี้จะแข่งขันกันดุเดือด มีทั้งผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศ และอีกหลายเจ้าในไทย แต่ด้วยความมั่นใจในแบรนด์ “บุญเติม” ที่ผู้ใช้ทั่วไปคุ้นเคยดีจากตู้เติมเงิน น่าจะช่วยให้ Be Wallet เป็นที่ยอมรับและมีการใช้งาน
จุดเด่นสำคัญคือ คนไทยชอบอะไรที่จับต้องได้ ขนาดตู้เติมเงินที่สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมคนชอบเติมเงินครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ ดังนั้น Be Wallet จึงไม่ได้เปิดตัวแค่แอป แต่ต้องมาพร้อมกับตู้ขายของอัตโนมัติ
ตู้ซื้อของอัตโนมัติ เริ่มต้นด้วยการ “ขายน้ำ”
สิ่งที่บุญเติมเริ่มต้นทำพร้อมกับการเปิดแอป คือ วางตู้ขายของอัตโนมัติจำนวนกว่า 700 ตู้ในหลายพื้นที่ โดยเริ่มต้นจากการขายน้ำ ซึ่งเป็นสินค้าซื้อง่ายขายคล่อง สามารถหยอดเหรียญ หรือธนบัตร หน้าจอระบบทัชสกรีน กดเลือกน้ำแล้วรอรับได้เลย
แต่ถ้าไม่อยากจ่ายด้วยเงินสด ก็สามารถสแกนด้วยแอป Be Wallet จ่ายด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านการสแกนบาร์โค้ดได้เช่นกัน ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งาน mobile payment แบบจับต้องได้ ใช้งานง่าย สินค้าราคาไม่กี่บาท และได้รับสินค้าทันทีเมื่อจ่ายเงิน ซึ่งต่อไปจะมีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้มีแค่น้ำอย่างเดียว
สำหรับคนที่ต้องการตู้ซื้อของอัตโนมัติ (รวมถึงตู้เติมเงินบุญเติม) ไปวางให้บริการ ก็แค่มีพื้นที่และคอยดูแลตู้ให้ทำงานได้ตามปกติ และแบ่งรายได้กัน
สรุป
ถ้าตู้เติมเงินบุญเติมจะโดนถอดจากหน้า 7ELEVEN จริงๆ แต่ก็ยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้อีกมาก และการขยายธุรกิจทำตู้ขายของอัตโนมัติ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่จะใช้แอป Be Wallet ในการจ่ายเงินหรือไม่ ยังต้องรอการพิสูจน์ เพราะพฤติกรรมการจ่ายเงินจากแอปยังไม่แพร่หลาย และในตลาด mobile payment ก็แข่งขันกันไม่ธรรมดาจริงๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา