Facebook โดนหลายองค์กรขนาดใหญ่บอยคอตต์ แต่สุดท้ายก็ยังไม่กระทบกับรายได้

2 เดือนที่ผ่านมามีแคมเปญ #StopHateForProfit หรือการไม่ลงโฆษณา Facebook เพราะมองว่าบริษัทนี้มีส่วนสนับสนุน Hate Speech แถมมีองค์กรใหญ่ๆ เข้าร่วมมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่กระทบรายได้ของ Facebook

facebook
NEW YORK, NY – OCTOBER 25: Facebook CEO Mark Zuckerberg speaks about the new Facebook News feature at the Paley Center For Media on October 25, 2019 in New York City. Facebook News, which will appear in a new dedicated section on the Facebook app, will offer stories from a mix of publications, including The New York Times, The Wall Street Journal and The Washington Post, as well as other digital-only outlets.(Photo by Drew Angerer/Getty Images)

รายใหญ่หาย แต่ตัวเลขไม่มากขนาดนั้น

แคมเปญ #StopHateForProfit มีองค์กรใหญ่เข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เช่น Adidas, Unilever, Colgate-Palmolive, Bayer, Ford, Levi’s และ Reebok เป็นต้น รวมถึงบริษัทโฆษณาชั้นนำที่ถือลูกค้ารายย่อยไว้ เพื่อกดดันให้ Facebook เข้ามาแก้ปัญหา Hate Speech ที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มเสียที

อย่างไรก็ตามหากอ้างอิงจากข้อมูลของ Pathmatics ผู้ให้บริการ Marketing Platform จะพบว่า กลุ่ม 100 บริษัทที่จ่ายค่าโฆษณาบน Facebook มากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ได้จ่างเงินโฆษณาระหว่างวันที่ 1-29 มิ.ย. ที่ 221.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้อยลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

hate speech

และมีเพียง 9 รายเท่านั้นที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้ใช้เงินน้อยกว่าเดิมในการจ่ายโฆษณาให้ Facebook โดยลดลงเหลือ 5.07 แสนดอลลาร์ จากเดิมรวมกันอยู่ที่ 26.2 ล้านดอลลาร์ ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้มีแผนกลับไปใช้โฆษณาของ Facebook เพื่อทำตลาดเหมือนเดิมด้วย

บริษัทเราอิงกับธุรกิจรายย่อยมากกว่ารายใหญ่

จากตัวเลขดังกล่าว Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Facebook ออกมายืนยันว่า รายได้ของบริษัทจะอิงกับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่เข้ามาลงโฆษณาเป็นหลัก ไม่ใช่อิงกับธุรกิจขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการแบน Facebook ของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ได้ส่งผลทางตัวเลขธุรกิจมากขนาดนั้น

Facebook

ขณะเดียวกันหากอ้างอิงจากตัวเลขของ Pathmatics จะพบอีกว่า ผู้จ่ายโฆษณาบน Facebook 100 อันดับแรกคิดเป็นรายได้ 16% หรือ 18,700 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 แต่ทาง Facebook กลับแจ้งว่า ภาพรวมรายได้จากโฆษณาจะเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ดังนั้นแคมเปญ #StopHateForProfit คงไม่ได้ส่งผลเรื่องกำไรตามที่แคมเปญต้องการ แต่ผลลัพธ์เกี่ยวกับการให้ทั่วโลกตระหนักถึง Hate Speech ต้องถูกควบคุม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย น่าจะกระตุ้นให้ Facebook ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้

facebook
ภาพจาก Facebook

พร้อมปรับเปลี่ยน และผู้ซื้อก็พร้อมกลับมา

Sheryl Sandberg ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ Facebook ย้ำว่า ไม่อยากให้มีเรื่อง Hate Speech และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องบนแพลตฟอร์ม ดังนั้นบริษัทพร้อมจะต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และร่วมมืกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดการปัญหานี้เช่นกัน

ในทางกลับกันบริษัทรายย่อยที่เริ่มทยอยแบนการใช้โฆษณา Facebook ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ก็เริ่มกลับมาพูดคุยว่าน่าจะต้องกลับมาใช้ในเร็ววันนี้ เพราะมันเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และไม่ได้มีกำลังในการลงทุนแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างต่อเนื่องเหมือนกับแบรนด์ใหญ่

facebook
Sheryl Sandberg กับเจ้านาย Mark Zuckerberg – ภาพจาก Facebook

ตัวอย่างคือลูกค้ารายย่อยของเอเจนซี่ DEG ในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมาคุยกับบริษัทว่าจะกลับไปใช้งาน Facebook ถึง 4 ใน 5 ของลูกค้าทั้งหมดในเดือนส.ค. รวมถึงการใช้จ่ายเพื่อลงโฆษณาใน Facebook และแพลตฟอร์มลูกอย่าง Instagram คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของยอดค่าใช้จ่ายเพื่อลงโฆษณาผ่าน DEG

สรุป

จริงๆ แล้วหลายบริษัทขนาดใหญ่เริ่มลดงบประมาณการตลาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปีอยู่แล้ว เพราะการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้การจับจ่ายของผู้บริโภคหดตัวอย่างชัดเจน เมื่อมีแคมเปญ #StopHateForProfit ออกมาอีก ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ผ่านการไม่ต้องลงโฆษณา Facebook

แต่จะให้มองในแง่ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะแคมเปญนี้ช่วยกดดัน Facebook ให้จริงจังกับ Hate Speech มากขึ้น และทุกอย่างก็คงสงบสุขกว่าเดิม

อ้างอิง // New York Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา