2 เดือนที่ผ่านมามีแคมเปญ #StopHateForProfit หรือการไม่ลงโฆษณา Facebook เพราะมองว่าบริษัทนี้มีส่วนสนับสนุน Hate Speech แถมมีองค์กรใหญ่ๆ เข้าร่วมมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่กระทบรายได้ของ Facebook
รายใหญ่หาย แต่ตัวเลขไม่มากขนาดนั้น
แคมเปญ #StopHateForProfit มีองค์กรใหญ่เข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เช่น Adidas, Unilever, Colgate-Palmolive, Bayer, Ford, Levi’s และ Reebok เป็นต้น รวมถึงบริษัทโฆษณาชั้นนำที่ถือลูกค้ารายย่อยไว้ เพื่อกดดันให้ Facebook เข้ามาแก้ปัญหา Hate Speech ที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มเสียที
อย่างไรก็ตามหากอ้างอิงจากข้อมูลของ Pathmatics ผู้ให้บริการ Marketing Platform จะพบว่า กลุ่ม 100 บริษัทที่จ่ายค่าโฆษณาบน Facebook มากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ได้จ่างเงินโฆษณาระหว่างวันที่ 1-29 มิ.ย. ที่ 221.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้อยลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
และมีเพียง 9 รายเท่านั้นที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้ใช้เงินน้อยกว่าเดิมในการจ่ายโฆษณาให้ Facebook โดยลดลงเหลือ 5.07 แสนดอลลาร์ จากเดิมรวมกันอยู่ที่ 26.2 ล้านดอลลาร์ ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้มีแผนกลับไปใช้โฆษณาของ Facebook เพื่อทำตลาดเหมือนเดิมด้วย
บริษัทเราอิงกับธุรกิจรายย่อยมากกว่ารายใหญ่
จากตัวเลขดังกล่าว Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Facebook ออกมายืนยันว่า รายได้ของบริษัทจะอิงกับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่เข้ามาลงโฆษณาเป็นหลัก ไม่ใช่อิงกับธุรกิจขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการแบน Facebook ของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ได้ส่งผลทางตัวเลขธุรกิจมากขนาดนั้น
ขณะเดียวกันหากอ้างอิงจากตัวเลขของ Pathmatics จะพบอีกว่า ผู้จ่ายโฆษณาบน Facebook 100 อันดับแรกคิดเป็นรายได้ 16% หรือ 18,700 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 แต่ทาง Facebook กลับแจ้งว่า ภาพรวมรายได้จากโฆษณาจะเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ดังนั้นแคมเปญ #StopHateForProfit คงไม่ได้ส่งผลเรื่องกำไรตามที่แคมเปญต้องการ แต่ผลลัพธ์เกี่ยวกับการให้ทั่วโลกตระหนักถึง Hate Speech ต้องถูกควบคุม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย น่าจะกระตุ้นให้ Facebook ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้
พร้อมปรับเปลี่ยน และผู้ซื้อก็พร้อมกลับมา
Sheryl Sandberg ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ Facebook ย้ำว่า ไม่อยากให้มีเรื่อง Hate Speech และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องบนแพลตฟอร์ม ดังนั้นบริษัทพร้อมจะต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และร่วมมืกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดการปัญหานี้เช่นกัน
ในทางกลับกันบริษัทรายย่อยที่เริ่มทยอยแบนการใช้โฆษณา Facebook ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ก็เริ่มกลับมาพูดคุยว่าน่าจะต้องกลับมาใช้ในเร็ววันนี้ เพราะมันเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และไม่ได้มีกำลังในการลงทุนแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างต่อเนื่องเหมือนกับแบรนด์ใหญ่
ตัวอย่างคือลูกค้ารายย่อยของเอเจนซี่ DEG ในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมาคุยกับบริษัทว่าจะกลับไปใช้งาน Facebook ถึง 4 ใน 5 ของลูกค้าทั้งหมดในเดือนส.ค. รวมถึงการใช้จ่ายเพื่อลงโฆษณาใน Facebook และแพลตฟอร์มลูกอย่าง Instagram คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของยอดค่าใช้จ่ายเพื่อลงโฆษณาผ่าน DEG
สรุป
จริงๆ แล้วหลายบริษัทขนาดใหญ่เริ่มลดงบประมาณการตลาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปีอยู่แล้ว เพราะการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้การจับจ่ายของผู้บริโภคหดตัวอย่างชัดเจน เมื่อมีแคมเปญ #StopHateForProfit ออกมาอีก ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ผ่านการไม่ต้องลงโฆษณา Facebook
แต่จะให้มองในแง่ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะแคมเปญนี้ช่วยกดดัน Facebook ให้จริงจังกับ Hate Speech มากขึ้น และทุกอย่างก็คงสงบสุขกว่าเดิม
อ้างอิง // New York Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา