Harley-Davidson คือผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันที่มีประวัติยาวนาน แต่การระบาดของโรค COVID-19 รวมถึงปัจจัยลบทางเศรษฐกิจอื่นๆ ก็อาจทำให้ผู้ผลิตรายนี้ต้องไปกู้เงินเพื่อประคองธุรกิจเอาไว้
เปลี่ยน CEO แต่ผลลัพธ์ก็อาจเหมือนเดิม
ภาพรวมธุรกิจของ Harley-Davidson นั้นประสบปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว เพราะตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเริ่มมองข้ามผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายนี้ ส่วนตลาดต่างประเทศก็ไม่ประสบความสำเร็จดังคาดหวัง ยิ่งปีนี้มาเจอวิกฤตโรค COVID-19 อีก มันก็ค่อนข้างเสี่ยงที่บริษัทจะมีรายได้ลดลงต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน
สำหรับยอดขายมอเตอร์ไซค์ไตรมาสแรกของปี 2563 ทาง Harley-Davidson ทำได้ 23,732 คันทั่วโลก ลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และหากมองแค่ธุรกิจมอเตอร์ไซค์จะพบว่า ธุรกิจนี้ทำรายได้ให้ Harley-Davidson 84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,700 ล้านบาท) ลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจะถูกผู้ถือหุ้นกดดันให้ลาออก และมันก็เกิดขึ้นจริงในเดือนก.พ. 2563 ทั้งยังเป็นที่มาของการปรับแผนธุรกิจครั้งใหญ่ของ Harley-Davidson เช่นการกลับมาเน้นผลิตมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เพื่อเจาะตลาดคนอเมริกันเท่านั้น รวมถึงการรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการไม่จ้างพนักงานเพิ่ม, ลดเงินเดือน, ลดเงินลงทุน, เลื่อนเวลาเปิดตัวมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ แถมยังอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อทำการกู้เงินมาประคองธุรกิจ เพราะน่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ยอดขายปีนี้จะลดลง เพราะตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ที่หดตัว และ COVID-19 ยังไม่รู้จะจบเมื่อไร
“แผนใหม่ของ Harley-Davidson ชื่อว่า The Rewire เป็นการลงทุนแบบหมดหน้าตักเพื่อผลิต และทำตลาดมอเตอร์ไซค์สำหรับชาวอเมริกันโดยเฉพาะ ทั้งรุ่น Adventure Touring, Streetfighter และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ก็จะมีพื้นฐานเพื่อให้คนอเมริกันใช้งาน” Jochen Zeitz รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว
สรุป
กลายเป็นปัญหาของแบรนด์มอเตอร์ไซค์เก่าแก่ที่ปรับตัวตามโลกไม่ทัน (ถึงจะพยายามแล้ว) ดังนั้นการกลับมาดูรากของตัวเองเพื่อเดินหน้าธุรกิจให้ถูกต้อง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ที่สุดของ Harley-Davidson ในตอนนี้ และก็คงได้แต่หวังว่า มอเตอร์ไซค์แบรนด์นี้จะไม่ได้ล้มลงในระยะยาว
อ้างอิง // Jalopnik
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา