วิกฤตโควิด-19 น่าจะพูดได้ว่าเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจเรียกได้ว่า แทบจะล่มสลาย เมื่อค้าขายสินค้าและบริการไม่ได้ ผลที่ตามมาคือ การเลิกจ้างงาน มีการคาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขคนว่างงานหลักหลายล้านจากวิกฤตครั้งนี้
ประเด็นสำคัญ คือ คนว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น คือ พนักงาน ลูกจ้างและแรงงานระดับล่าง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
เมื่อขายสินค้า-บริการไม่ได้ จะทำอย่างไร
ทางออกของธุรกิจที่ไม่มีรายได้ คือต้องลดรายจ่ายงบการตลาด งบลงทุน แต่ในทึ่สุดก็ต้องตัดค่าจ้างพนักงาน โดยมีทั้ง ลดสวัสดิการ ลดเงินค่าจ้าง หยุดจ้างชั่วคราว ไปจนถึงเลิกจ้าง
หนึ่งในธุรกิจที่เห็นผลกระทบชัดเจนเป็นกลุ่มแรกๆ คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้ง บริษัทนำเที่ยว รถเช่า โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง เมื่อนักท่องเที่ยวหายไป เรียกว่ากลายเป็นศูนย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สภาพคล่องกระแสเงินสด ที่ยังเหลืออยู่เพื่อประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป
พนักงาน ลูกจ้างที่มีอยู่หลายพันคน ต้องยอมลดงาน ลดเงินค่าจ้าง เรียกว่า พนักงานต้องช่วยบริษัท แต่บริษัทก็ต้องช่วยพนักงาน นั่นคือ เถ้าแก่ หรือนายจ้าง ก็ต้องกัดฟัน จ้างพนักงานต่อไปด้วยเงินค่าจ้างที่น้อยลง
10,000-15,000 บาท ต่อชีวิตพนักงานทั้งครอบครัว
การเลิกจ้างนั่นอาจเป็นการตัดตอนชีวิตพนักงานและครอบครัวในทันที แต่มีข้อเท็จจริงว่า รายได้ประมาณ 10,000 – 15,000 บาทสำหรับคนบางคน ถือว่าเป็นเงินที่สามารถช่วยในการใช้ชีวิตให้รอดผ่านช่วงวิกฤตนี้ได้
ดังนั้น เถ้าแก่ ต้องเสียสละ โดยรักษาการจ้างงานต่อไป โดยเฉพาะพนักงานรายได้น้อย เพราะนี่คือฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในสังคม หากแรงงานของประเทศไม่มีรายได้ ในที่สุดผลกระทบจะไปถึงคนระดับกลาง และคนระดับบนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ธุรกิจจะไปต่อได้ ต้องมีสภาพคล่องและกระแสเงินสด ที่เพียงพอด้วย ดังนั้นจะรักษาการจ้างงานไว้ได้ อีกตัวแปรที่สำคัญคือ “เจ้าหนี้” นั่นก็คือ ธนาคาร ที่ต้องกระโดดลงมาช่วยด้วยอีกแรง
ตามปกติธุรกิจต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคาร วิธีที่ง่ายที่สุดที่ธนาคารจะช่วยเหลือได้ในทันทีก็คือ ธนาคารลดดอกเบี้ย แล้วให้ธุรกิจเอาเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ไปจ่ายเป็นค่าจ้างพนักงานแทน พนักงานก็จะได้รับเงินเดือนเท่าเดิม และไม่ถูกเลิกจ้าง
แนวทางนี้คือ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือและช่วยเหลือกันและกัน องค์กรต้องเลิกคิดถึงกำไร ยอมขาดทุน เพื่อดูแลพนักงานให้อยู่รอดไปด้วยกัน กว่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติอาจใช้เวลามากกว่า 1-2 ปี
แต่ในระยะสั้นอย่างน้อยที่สุด ช่วงที่เริ่มฟื้นฟูกิจการ องค์กรธุรกิจก็ยังมีพนักงานที่พร้อมจะทำงานและพลิกฟื้นธุรกิจไปด้วยกันในทันที
บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ของ KBank บอกว่า การจะช่วยเหลือให้เกิดการจ้างงานต่อไป ส่วนสำคัญคือ ต้องมั่นใจว่า เงินไปถึงมือพนักงานและลูกจ้าง ต้องสามารถตรวจสอบได้ เพราะถ้าเงินที่เกิดจากการลดดอกเบี้ย เข้ากระเป๋าเถ้าแก่เสียเอง ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ดังนั้น KBank จึงเริ่มทดลองโครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” โดยเลือกภูเก็ต ซึ่งมีเถ้าแก่ที่เป็นลูกค้าของ KBank ประมาณ 127 ราย ที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายตามเกณฑ์การับความช่วยเหลือ
เป้าหมายคือ 6 เดือนจากนี้ พนักงานกว่า 3,000 คน จะได้รับการจ้างงานต่อไป และอนาคตอันใกล้ KBank จะขยายผลไปทั่วประเทศเพื่อให้พนักงานกว่า 15,000 คนไม่ต้องตกงาน และไม่ถูกลดเงินเดือน
สำหรับในภูเก็ตเอง ถ้าธุรกิจทั้ง 127 แห่ง สามารถจ้างงานพนักงานกว่า 3,000 คนต่อไปได้ นั่นหมายถึง คนในพื้นที่ คนในท้องถิ่น จะยังมีงานทำ
นอกจากความช่วยเหลือตามโครงการดังกล่าว ทุกธุรกิจก็ต้องไม่ลืมที่จะปรับตัว วางแผนทางธุรกิจ หาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องไม่ลืมว่า สภาพคล่องกระแสเงินสด สำคัญมาก
สรุป: เตรียมปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในอนาคต
บัณฑูร กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า เงินจำนวนนี้ต้องลงไปถึงคนระดับล่างของเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์จริงๆ ต้องประคองให้คนอยู่รอดได้ให้มากที่สุด คนที่มีต้องให้คนไม่มี ต้องคิดถึงคนข้างล่างก่อน ถ้าคนข้างล่างอยู่รอด คนตรงกลางและคนข้างบนก็อยู่รอด
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความช่วยเหลือ ทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือและช่วยเหลือกัน เพราะการ “ให้” จะทำให้เราทุกคนรอดจากวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา