เป็นที่รู้กันดีว่า บริการแอพเรียกรถยนต์หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ride-sharing หรือ ride-hailing เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง แต่ยังไม่ทำกำไรและมิหนำซ้ำ ขาดทุนหนักมาก
แนวคิดของบริษัทเรียกรถในตอนนี้คือเน้นการเผาเงิน (burn cash) เพื่อเรียกลูกค้ามาใช้บริการ โดยทุ่มเงินค่าการตลาดพวกคูปองส่วนลดหรือการสะสมแต้มเพื่อนั่งฟรี เป้าหมายเพื่อให้บริการของตัวเองติดตลาดก่อน และเมื่อนั้นค่อยมาคิดถึงเรื่องการทำกำไรในอนาคต
ตัวอย่างที่ดีของกรณีเหล่านี้คือสงครามในจีนระหว่าง Uber กับ Didi บริการเรียกรถรายใหญ่ของจีน ที่ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงจนสุดท้าย Uber ผู้ให้บริการรายใหญ่ของโลกต้องถอนตัวออกมาจากจีนอย่างชอกช้ำ
บริษัทเรียกรถเหล่านี้ยังไม่มีรายใดเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เราไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร ต้องอาศัยข้อมูลหลุด (หรือในบางครั้งก็คือข้อมูลที่บริษัทจงใจเปิดออกมา) เพื่อให้เห็นสภาพการณ์ทางการเงินของบริษัทเหล่านี้
ล่าสุดมีข่าวของ Lyft คู่แข่งรายสำคัญของ Uber ในสหรัฐอเมริกาหลุดออกมา โดยระบุว่าผลประกอบการทั้งปี 2016 ของ Lyft มีรายได้ 700 ล้านดอลลาร์ แต่กลับขาดทุนถึง 600 ล้านดอลลาร์ (2.1 หมื่นล้านบาท)
เทียบกับตัวเลขในปี 2015 ที่ Lyft มีรายได้ 200 ล้านดอลลาร์ และขาดทุน 360 ล้านดอลลาร์ ต้องบอกว่า Lyft มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มีสัดส่วนการขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ข้อมูลอย่างเป็นทางการ และอาจผิดพลาดได้)
แต่ตัวเลขนี้อาจดูไม่เยอะนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Uber ที่เคยประกาศว่าเพียงแค่ไตรมาสเดียว (ไตรมาส 3/2016) ก็ขาดทุนไปแล้ว 800 ล้านดอลลาร์ เยอะกว่าตัวเลขของ Lyft ตลอดทั้งปี และมีการประเมินกันว่าตลอดปี 2016 ตัวเลขขาดทุนรวมจะสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1 แสนล้านบาท)
เห็นตัวเลขเหล่านี้แล้วต้องบอกว่า นี่เป็นธุรกิจเผาเงินของยักษ์ใหญ่ ที่คนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีสิทธิคิดฝันไปแข่งขันด้วย
ที่มา – Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา