เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถือเป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก มนุษย์ก็เช่นกัน
เมื่อมนุษย์ตายและกลายเป็นศพ เราก็ต้องหาวิถีทางที่จะจัดการกับศพเหล่านั้น ไม่ว่าจะเผา หรือฝัง แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน หลายคนมองเป็นเรื่องดีถ้าถ้าร่างไร้วิญญาณยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่โลกได้ เช่น การเป็นอาจารย์ใหญ่ และการเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้
“เปลี่ยนศพให้กลายเป็นปุ๋ย” เทรนด์ธุรกิจงานศพแบบใหม่ ลดโลกร้อนได้
Lynne Carpenter-Boggs ผู้เชี่ยวชาญด้านดินและการเกษตรจาก Washington State University ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คิดค้นวิธีการใหม่ที่จะจัดการกับศพของมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ยได้ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Natural Organic Reduction ที่จะเปลี่ยนร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ยภายในเวลาเพียง 4 – 6 สัปดาห์
Recompose บริษัทสัญชาติอเมริกัน จะเปิดบริการให้คนนำศพมาแปลงเป็นปุ๋ยเป็นรายแรกของโลก ในขณะนี้มีการทดลองเปลี่ยนศพมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ยแล้วจำนวน 6 ศพเพื่อทดสอบความปลอดภัยและให้มีประสิทธิภาพซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดบริการเปลี่ยนศพให้กลายเป็นปุ๋ยได้ในช่วงปีหน้า
กระบวนการย่อยศพเป็นปุ๋ย ทำง่าย รวดเร็ว
หลังจากเสียชีวิต ศพของมนุษย์จะถูกนำไปใส่ไว้ในโลงที่ทำจากเหล็กรูปทรง 6 เหลี่ยม แล้วหมักกับ เศษไม้สับขนาดเล็ก ต้นอัลฟัลฟา (พืชตระกูลถั่ว) และฟางข้าว ปริมาณความชื้น คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน และไนโตรเจนที่ถูกควบคุมเหมาะสมจะช่วยเร่งอัตราการย่อยสลาย ทำให้ศพกลายเป็นปุ๋ยได้ภายใน 4-6 สัปดาห์ ซึ่งปุ๋ยที่ได้จากศพมนุษย์จะมีปริมาณแบคทีเรียโคลิฟอร์มต่ำ ทำให้ปลอดภัยจนสามารถใช้ปลูกผักบริโภคได้
อวัยวะทุกอย่างของมนุษย์สามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยได้ ไม่ว่าจะฟัน หรือกระดูก แต่อวัยวะเทียมต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายจะไม่สามารถย่อยสลายได้ ต้องมีการคัดแยกก่อน
ในแต่ละปีสหรัฐอเมริกา มีการเผาศพที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับการใช้น้ำมันกว่า 8 แสนบาร์เรล แต่กระบวนการเปลี่ยนศพให้กลายเป็นปุ๋ยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า เพราะใช้พลังงานเพียง 1 ใน 8 ของการเผาศพเท่านั้น ส่วนการฝังศพ อาจทำให้ดินและแหล่งน้ำใต้ดินที่อยู่ในบริเวณนั้นเกิดการปนเปื้อน เป็นอันตรายได้
ยังมีวิธีการอื่นอีกนอกจากเปลี่ยนศพให้กลายเป็นปุ๋ย คือกระบวนการเปลี่ยนศพให้กลายเป็นน้ำ ซึ่งได้รับการอนุญาตให้ทำแล้วในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ส่วนที่ประเทศอังกฤษ ก็กำลังมีความพยายามผลักดันร่างกฎหมาย เพื่อใช้วิธีใหม่ๆ ในการจัดการกับศพเช่นเดียวกัน
ที่มา – theguardian
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา