แม้เศรษฐกิจจะซบเซา แถมภาครัฐเข้มงวดการจำหน่ายรถหรู แต่ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่าย Porsche อย่าง AAS Auto Service ยังเติบโตสุดๆ แถมปี 2563 ก็ยังมีแผนเติบโตไปมากกว่านี้อีก
เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องท้าทาย
ตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบันมีรถหรูหลั่งไหลเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมากมาย ทั้งในรูปแบบเป็นตัวแทนถูกต้อง และผู้นำเข้าอิสระ เรียกได้ว่าธุรกิจรถหรูนั้นฝ่าฟันวิกฤติมาเยอะ ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาอย่างตอนนี้ก็คงเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของผู้นำเข้ารถหรูว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง
“ผมเชื่อมาตลอดว่าเศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมรถหรู เพราะถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาจริง มันน่าจะส่งผลกับกลุ่มรถยนต์ระดับเริ่มต้นมากกว่า ดังนั้นการนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศมาจำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้ยังไปได้อยู่” ปีเตอร์ โรห์เวอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด กล่าว
ดังนั้นความท้าทายในตลาดรถยนต์หรูในตอนนี้คือการทำตลาดให้สามารถจูงใจผู้ซื้อให้ได้มากที่สุด รวมถึงสร้างบริการหลังการขาย และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นศูนย์บริการที่เชี่ยวชาญเรื่องสี หรือสินค้าที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่ทำให้รถยนต์หรูสามารถตอบโจทย์เจ้าของได้มากที่สุด
สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วยเหลือ
ขณะเดียวกันการที่ Porsche เริ่มผลิตรถยนต์ประสิทธิภาพสูงที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid รวมถึงการปล่อยมลพิษที่ลดลง ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูงที่สุด หรือราว 300% เมื่อเป็นอย่างนี้ผู้บริโภคก็เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าในอดีต
“เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากกว่าเดิม และเรานำเข้าอย่างถูกต้อง ดังนั้นเรื่องการตรวจสอบรถหรูของภาครัฐจึงไม่ใช่ปัญหา แต่เราอยากให้มองเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมากกว่า เพราะมันเป็นการส่งเสริมที่แท้จริง และมันควรจะเป็น 0% เลยก็ได้”
เมื่อเป็นอย่างทำให้ในปี 2562 ทาง Porsche ประเทศไทยมีโอกาสที่จะปิดยอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้านั้นถึง 82% ผ่านการจำหน่ายรถยนต์สปอร์ต และรถยนต์แบบ SUV อย่างละครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่น Taycan ก็มีลูกค้าจองสิทธิ์ซื้อแล้ว แม้จะยังไม่เปิดเผยราคา และรายละเอียดในการทำตลาดที่ประเทศไทย
ปิดช่องว่างด้วย Cayenne Coupé
อย่างไรก็ตามด้วยตลาด SUV ที่เติบโตสุดๆ ในตอนนี้ ทำให้ Porsche ประเทศไทยตัดสินใจนำเข้า Cayenne Coupé รถยนต์แบบ SUV ที่จะมาขั้นกลางระหว่าง Macan กับ Cayenne กับรุ่น e-Hybrid ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท ส่วนรุ่นปกติราคาเริ่มต้น 8.1 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมีผู้บริโภคให้ความสนใจเช่นเดิม
สำหรับ Cayenne Coupé รุ่นปกติจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า และทำความเร็วสูงสุด 243 กม./ชม. โดยภายในตกแต่งด้วยห้องโดยสารแบบสปอร์ต 4 ที่นั่ง เพื่อให้สมกับความเป็น Coupé ที่มีช่วงท้ายลาดลงมา
ในทางกลับกัน AAS Auto Service ก็ยังมีแผนขยายธุรกิจในฝั่ง Porsche ให้มากกว่าเดิม เช่นการเปิดโชว์รูมเพิ่มจากที่มีอยู่ 4 แห่ง แต่ถึงอย่างไรบริษัทยังรักษาการนำเข้ารถยนต์หรูมาจัดจำหน่าย 2 แบรนด์คือ Porsche และ Bentley โดยไม่มีแผนการนำเข้าแบรนด์อื่นๆ เพิ่ม
สรุป
การทำตลาดรถยนต์หรูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเข้าใจผู้บริโภคอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์พวกเขาที่มีกำลังซื้อเยอะให้ได้ดีที่สุด ยิ่งตอนนี้เหลือผู้ทำตลาดรถหรูที่ไม่ใช่ผู้นำเข้าอิสระเพียงไม่กี่ราย ดังนั้นมันก็พิสูจน์ว่า พวกเขาคือคนที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเศรษฐีได้จริงๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา