เครือร้านกาแฟระดับโลกในตอนนี้คงไม่มีใครสู้ Starbucks ที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 24,000 สาขาได้ แต่เครือร้านกาแฟใหม่ๆ ก็ได้รับความสนใจกันมากขึ้นเรื่อย หนึ่งในนั้นคือกาแฟ Blue Bottle ที่เริ่มมาจากการขายกาแฟโดยใส่ใจรายละเอียด กาแฟทุกถุงจะระบุวันที่คั่วเอาไว้อย่างชัดเจน ให้ผู้ซื้อได้เลือกว่าระยะเวลาการคั่วกาแฟแต่ละถุงเหมาะสมหรือไม่ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปร้านกาแฟ Blue Bottle ก็ขอเก็บบรรยากาศมาให้ดูกัน
สาขาที่ผมไปครั้งนี้เป็นสาขา Mint Plaza ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ BART สถานี Powell (จุดขึ้นรถรางขึ้นเขาของซานฟราน) ในแง่ทำเลก็นับว่าเป็นทำเลที่ดีมาก แม้จะไม่ติดถนนใหญ่ ต้องตั้งใจเดินเข้ามา
เมนูในร้านอยู่ที่ 3-5 ดอลลาร์ต่อแก้ว ผมสังเกตว่าราคาต่อแก้วของ Blue Bottle จะถูกกว่า Starbucks เล็กน้อย (แต่เพื่อนเล่าว่าสาขาในญี่ปุ่นจะแพง Starbucks) เวลาจ่ายเงินก็จ่ายตอนสั่ง บอกชื่อ แล้วรอรับขานชื่อรับกาแฟ โดยไม่มีการให้ใบเสร็จแต่อย่างใด
แม้ราคาจะถูกกว่า Starbucks เล็กน้อย แต่บาริสต้าก็ทำลาเต้อาร์ตทุกแก้ว นับว่าตั้งใจมาก แม้คนจะเยอะมากก็ตาม กาแฟแก้วนี้ผมรอคิวอยู่เกือบ 20 คิว นานประมาณครึ่งชั่วโมง บาริสต้าก็ยังค่อยๆ ทำลาเต้อาร์ต
ชั้นขายกาแฟของ Blue Bottle เน้นกาแฟแบบ single origin และทุกถุงก็ยังระบุวันที่คั่วกาแฟไว้ตามแบบฉบับเหมือนเดิม
ผมมองว่าแบรนด์ Blue Bottle มีความน่าสนใจจากภาพลักษณ์ที่ใส่ใจต่อกาแฟมากกว่า มีทางเลือกกาแฟทั้งดริปหรือการชงแบบอื่นๆ กาแฟในร้านเน้นคุณภาพและความใส่ใจเช่นวันที่คั่วกาแฟ และการทำลาเต้อาร์ต ร้านที่ตกแต่งในแนวสว่างทำให้หลายๆ คนอาจจะชอบนั่งมากกว่าร้านที่เน้นสีเข้มอย่าง Starbucks
Blue Bottle ยังมีสาขาจำกัดมาก แม้จะขยายออกไปนอกสหรัฐฯ คือโตเกียวบ้างแล้ว แต่อัตราการขยายสาขาก็ยังไม่ได้เร็วนัก การระดมทุนกว่าร้อยล้านดอลลาร์อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ Blue Bottle กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้เร็วนัก ขณะที่ Starbucks เองก็เตรียมพร้อมด้วยการวางแผนเปิดร้านแบรนด์ Reserve ถึง 1,000 สาขาภายในปี 2017 เพื่อตอบรับกระแสร้านกาแฟคุณภาพสูงเช่นนี้ การขยายสาขาอย่างรวดเร็วคงทำให้แบรนด์ใหม่อย่าง Blue Bottle ต้องหากลยุทธ์เพิ่มเพื่อก้าวเข้ามาเป็นแบรนด์ระดับโลก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา