บล.เอเชียพลัสปรับลดดัชนี SET เหลือ 1,699 จุด ชี้ปีนี้กำไรตลาดลด-หุ้นไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน

ช่วงกลางปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีเงินต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่องจากดัชนีหุ้น MSCI เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย

แต่ทำไมปีนี้หลายค่ายนักวิเคราะห์มองว่าดัชนีหุ้นไทยจะไปไม่ถึง 1,700 จุด

Stock Exchange Thailand Streaming
ภาพจาก Shutterstock

ASP ปรับลดดัชนีหุ้น 2019 เหลือ 1,699 จุด

ฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส (ASP) บอกว่า ทางบริษัทฯ ปรับคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ 1,699 จุด จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,705 จุด จากสมมุติฐาน Market Earning Yield Gap อยู่ที่ 4.28%

ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่ากำไรตลาดปี 2019 ปรับลดเหลือ 1.03 ล้านล้านบาท ลดลง 2.25% จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ที่ 1.06 ล้านล้านบาท สาเหตุที่กำไรจะลดลงมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลง โดยกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 103.32 บาทต่อหุ้น เติบโต 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (ปรับลดลงจากก่อนหน้าที่ระดับ 106.58 บาท)

ภาพจาก Pixabay

ทำไมหุ้้นไทยแพงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค

ปัจจุบันเมื่อเทียบ Valuation ของหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย พบว่า ความน่าสนใจในหุ้นไทยลดลงเพราะ Expected PE (ราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) หุ้นไทยอยู่ที่ 16.2 เท่า ถือว่าแพงกว่าตลาดหุ้นจีน PE อยู่ที่ 11.2 เท่า, อินโดนีเซีย 15.5 เท่า

ในขณะเดียวกันแนวโน้มการเติบโตตลาดหุ้นไทย (EPS Growth) อยู่ที่ 5.6% ซึ่งเติบโตน้อยกว่าหลายประเทศในเอเชีย เช่น อินเดียโต 17.3%, ฟิลิปปินส์ โต 9.3%, อินโดนีเซีย โต 8.3%, และจีน โต 6.9%

ดังนั้นเมื่อหุ้นไทยน่าสนใจน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจทำให้เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่เคยเข้ามาซื้อในตลาดหุ้นไทยชะลอลง ทำให้โอกาส Upside ของตลาดหุ้นไทยจำกัดไปด้วย

สำหรับนักลงทุนต้องใช้กลยุทธ์การลงทุน “Selective Buy” คือเลือกหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่มี Valuation โดดเด่นกว่าตลาดฯ 

ASP แนะนำหุ้น RS-SCC รับผลดีครึ่งปีหลัง

  • RS     – บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) มีราคาเป้าหมายที่ 22.10 บาท โดยมีปัจจัยบวกจากธุรกิจกลับมาเติบโต ได้รับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และจากที่ประกาศลดทุนจากหุ้นซื้อคืน 43.27 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.26% ของทุนฯ ส่งผลให้ EPS ปีนี้เพิ่มขึ้น ราว 4% รวมถึงหนุนกำไรปีนี้ให้เติบโตสูงถึง 53%
  • SCCC – บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 269 บาท แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากมพ.ร.บ.แรงงานฉบับใหม่ แต่กำไรยังเติบโตต่อเนื่องจาก 3 ปัจจัย 1. จากแนวโน้มความต้องการใช้และราคาปูนซีเมนต์ในประเทศที่ฟื้นตัว
    2. มีรายได้จากโครงการที่ลงทุนไปแล้วในตลาดต่างประเทศ
    3. ต้นทุนการผลิตต่ำลงจากกรณี Trade war กดดันราคาถ่านหินปรับตัวลงราว 28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

สรุป

ปีนี้ตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงและความผันผวนอีกมาก ทั้งปัจจัยต่างประเทศอย่าง Trade war รวมถึงความไม่แน่นอนการเมืองไทย ดังนั้นถ้าอยากลงทุนให้ชนะตลาด อาจต้องใช้เวลาและลงทุนระยะยาว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา