บทวิเคราะห์ของธนาคารกสิกรไทยมองว่าการเปลี่ยนเกณฑ์การลงทุนของ MSCI ในตลาดหุ้นไทยอาจทำให้ค่าเงินบาทของไทยมีความผันผวนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมสูงขึ้น
เมื่อ MSCI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปลี่ยนเกณฑ์เพิ่ม NVDR ในการคำนวณหุ้น MSCI Thailand และส่งผลให้น้ำหนักในดัชนีของ MSCI Emerging Markets สูงขึ้นเป็น 3% จาก 2.5% ในการทบทวนเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
สำหรับมุมมองของธนาคารกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงถ้าหากสัดส่วนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นของไทย ซึ่งเม็ดเงินที่เข้ามาจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าหรือไม่ส่งผลใดๆ Brand Inside นำบทวิเคราะห์จากธนาคารกสิกรไทยมาฝาก
มาทำความเข้าใจความสำคัญของ MSCI สักหน่อย
MSCI Index เป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International หรือเรียกย่อๆ MSCI ซึ่งเป็นบริษัททำดัชนีหุ้นที่มีความเชื่อมั่นสูงอันดับต้นๆ ของโลก โดยดัชนีเหล่านี้มีขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ เพื่อที่จะคัดเลือกหุ้นและเปรียบเทียบผลตอบแทน
โดยดัชนีของ MSCI แบ่งได้หลายแบบ เช่น
- แบ่งตามประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศจีน รวมถึงประเทศไทยด้วย ใช้ชื่อว่า MSCI Thailand Index
- แบ่งตามภูมิภาค เช่น อเมริกา ยุโรป เอเชีย ยกตัวอย่างเช่น MSCI Asia Index หรือ MSCI Europe Index
- แบ่งตามกลุ่มของประเทศ เช่น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) และประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Markets) โดยจะคัดหุ้นออกมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในดัชนีนั้นๆ อีกที
ขณะที่เกณฑ์ในการเข้า MSCI Thailand Index สิ่งที่หุ้นตัวนั้นต้องมีคือ
- มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง โดยมีสิ่งที่ใช้วัดสภาพคล่อง คือ สัดส่วนของหุ้นที่นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายได้ โดยไม่รวมผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหาร กำหนดขั้นต่ำที่ 15% หรือเรียกว่า Free Float
- มีมูลค่าตลาดที่คูณกับ Free Float แล้ว สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด มูลค่าตลาดขั้นต่ำของหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรื่องนี้ส่งผลอย่างไรกับค่าเงินบาท
บทวิเคราะห์ของธนาคารกสิกรไทยมองว่าการปรับเกณฑ์ครั้งนี้ของ MSCI จะช่วยให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มแค่ 0.5% แต่ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินแล้วธนาคารกสิกรไทยมองว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าประมาณ 23,000 ล้านบาท ในต้นเดือนพฤษภาคมทันที
ผลกระทบนี้จะกระทบไปยังค่าเงินบาทคือ “ค่าเงินบาทจะมีโอกาสผันผวนสูงมาก” เนื่องจากในช่วงเวลาที่มีเม็ดเงินเข้ามานั้น จะมีเม็ดเงินบางส่วนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอีกด้วย เนื่องจากว่าในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจ่ายเงินปันผลออกมาด้วยมูลค่าประมาณ 17,900 ล้านบาท
ที่มา – บทวิเคราะห์จากธนาคารกสิกรไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา