AT&T เริ่มขยับ เปิด DirecTV Now จัด 100 ช่อง 35 ดอลลาร์ต่อเดือน ท้าชนผู้ให้บริการทีวีทุกราย

946_432_newsroom_release_tw

หลังจากอภิมหาดีลมูลค่ากว่า 85,000 ล้านดอลลาร์ ที่ AT&T (เอทีแอนด์ที) เข้าซื้อกิจการของ Time Warner (ไทม์ วอร์เนอร์) ซึ่ง Brand Inside นำเสนอไปแล้ว คลิกอ่านที่นี่ เรียกว่าไม่รอช้า ปล่อยระเบิดลูกแรกทันทีด้วยโปรแกรม streaming TV ในชื่อ DirecTV Now จัดใหญ่ 100 ช่องกับค่าบริการ 35 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน

Randall Stephenson ซีอีโอของ AT&T บอกว่า แพ็คเกจ DirecTV Now ค่าบริการ 35 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็นบริการที่มากับ mobile data แบบไม่จำกัดเฉพาะการดูทีวี ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AT&T ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมอยู่แล้ว

และจะเริ่มต้นให้บริการในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้

สำหรับ DirecTV Now เป็นบริการทีวีผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องใช้สายเคเบิล หรือ จานดาวเทียม มีกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น คือ คน 20 ล้านคนในอเมริกาที่ไม่ใช้ pay TV แต่ในอนาคต DirecTV Now มีเป้าที่จะเป็นแพลตฟอร์มทีวีหลักในปี 2563

randall-stephenson-att
Randall Stephenson ซีอีโอของ AT&T // ภาพจาก flickr.com

ตัดราคาได้ ต้นทุนต่ำกว่า

ด้านการคิดค่าบริการ 35 ดอลลาร์ต่อเดือน เรียกได้ว่ามา “ตัดราคา” ผู้ให้บริการเดิมในตลาด เพราะไม่มีต้นทุนด้านอุปกรณ์ หรือจานดาวเทียม และยังไม่มีการผูกสัญญารายปีกับลูกค้าด้วย โดยผู้นำตลาดอย่าง Sling TV คิดค่าบริการ 20 ดอลลาร์ สำหรับ 25+ ช่อง และมีแพ็คเกจสูงสุดคือ 40 ดอลลาร์ สำหรับ 50 ช่อง ขณะที่ Sony’s Playstation Vue คิดค่าบริการ 54.99 ดอลลาร์สำหรับ 100 ช่อง หรือจะเลือกที่เล็กลงมา 39.99 ดอลลาร์ สำหรับ 60+ ช่อง

ส่วน Hulu หรือ Youtube ก็ประกาศว่าพร้อมจะเข้ามาทำตลาดแข่งขัน streaming TV เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด

บริการ DirecTV Now จะให้บริการผ่านโครงข่าย 5G ของ AT&T และจากการซื้อกิจการ Time Warner จะทำให้ DirecTV Now มีคอนเทนต์ช่องต่างๆ เช่น Time Warner, NBCUniversal, Fox, Disney, HBO, CNN และ Warner Brothers

logo-att

สรุป

AT&T ใช้จุดเด่นของการควบรวมและต้นทุนที่ต่ำกว่า จัดแพ็คเกจบริการ 100 ช่องในราคาที่ถูกกว่า เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า มีช่องให้เลือกมากกว่า ทั้งที่ความจริงแล้วผู้บริโภคอาจจะดูทีวีเป็นประจำไม่กี่ช่อง นี่คือ การสร้างตัวเปรียบเทียบให้เห็น แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญกว่าคือ คอนเทนต์ ในช่องตรงใจผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูจากช่องที่ AT&T มีแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า มีพลังมากพอที่จะดึงดูดใจคนดูได้ด้วย

จริงอยู่ว่า พฤติกรรมการดูทีวีของอเมริกันชน และคนไทย อาจจะแตกต่างกัน แต่ดูแนวโน้มของธุรกิจแล้ว ในไทยก็มีโอกาสเกิดการควบรวมกิจการในลักษณะนี้ได้เช่นกัน เพราะหนึ่งในผู้ให้บริการโทรคมนาคมคือ True มีครบอยู่แล้ว และ AIS ก็จับมือพันธมิตรกับผู้สร้างคอนเทนต์หลายราย เมื่อโทรคมนาคม เป็นแค่ “ท่อ” สิ่งที่สร้างมูลค่าคือ คอนเทนต์ มารอดูว่า จะเห็นการควบรวมหรือร่วมมืออะไรอีกบ้าง

 

Credit:  http://www.businessinsider.com/directv-now-35-per-month-with-100-channels-2016-10?utm_source=feedly&amp%3Butm_medium=referral

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา