เวลาถามเด็กๆ รุ่น Millennial ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร Influencer ต้องเป็นหนึ่งในคำตอบแน่ๆ เพราะปัจจุบันคนดังบน Social Media นั้นทำเงินได้มากมาย แต่หากอยากเป็นแบบพวกเขาได้บ้างต้องทำอย่างไรล่ะ?
แค่มีผู้ติดตาม 1,000 คนก็มีคนจ้างแล้ว
Influencer เริ่มเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมจากแบรนด์ และเอเจนซี่ต่างๆ เมื่อปี 2560 เพราะมันเป็นการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิด และดูเป็นกันเองกว่าการใช้สื่อโฆษณาแบบอื่น จึงไม่แปลกที่ Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากจะมีรายได้เยอะ และทำให้คนรุ่นใหม่อยากทำอาชีพนี้กันมากขึ้น ผ่านความสนุก และไม่ได้มีอะไรตายตัว
แต่ Influencer ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีแค่คนที่มีผู้ติดตาม หรือ Follower เยอะๆ เพราะมันแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ Mass หรือผู้ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน, Macro หรือผู้ที่มีผู้ติดตาม 1-9.9 แสนคน, Micro หรือผู้ที่มีผู้ติดตาม 10,000-99,999 คน และ Mini หรือผู้ที่มีผู้ติดตาม 1,000-9,999 คน
ดังนั้นการทำให้ตัวเองมีผู้ติดตามแค่ 1,000 คน ก็มีโอกาสที่เอเจนซี่ หรือแบรนด์จะเข้ามาจ้างงานแล้ว ซึ่งการปั้นช่องทางของตัวเองให้มีตัวเลขดังกล่าวก็ทำได้หลายทาง และการมีหลาย Platform เช่น Facebook, YouTube หรืออื่นๆ ก็ช่วยเพิ่มช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค และทำให้แบรนด์ กับเอเจนซี่มีความสนใจมากขึ้น
ทำในสิ่งที่ผู้บริโภค “ชอบ” ก็จำเป็น
แม้ Influencer จะมาเติบโตจากการทำสิ่งที่ตัวเอง “ชอบ” แต่หากต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน การทำในสิ่งที่ผู้บริโภคชอบก็จำเป็น เช่นเรื่องเนื้อหาที่ปัจจุบันเรื่องอาหาร, ท่องเที่ยว, แฟชั่น, สุขภาพ และการเงิน คือสิ่งที่ผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ต้องการจะเห็นเป็นต้น
ขณะเดียวกันรูปแบบเนื้อหาที่ทำออกมาก็ต้องเป็น Video มากขึ้น เพราะมันคือสิ่งที่ผู้บริโภคชื่นชอบในยุคนี้ รองลงมาก็เป็นเนื้อหาแบบรูปภาพ เพราะไม่ต้องเสียเวลามากในการเสพ สุดท้ายคือเนื้อหาแบบบทความที่เป็นเนื้อหาในระดับเริ่มต้น อย่างไรก็ตามการนำทั้ง 3 รูปแบบมาผสมผสานกันก็เป็นวิธีที่สร้างเนื้อหาดีๆ ได้เช่นกัน
ทั้งนี้การทำเนื้อหาในหัวข้อข้างต้น รวมถึงปรับรูปแบบให้เหมาะสมนั้น Influencer ที่ดีต้องไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง เพราะมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ Influencer ตั้งแต่เริ่มต้น และเอเจนซี่ กับแบรนด์ก่อนจะจ้างก็จะติดตามเรื่องนี้ตลอดเวลา ซึ่งมันน่าจะดีกว่าถ้าคนที่อยากทำอาชีพ Influencer สามารถคงเรื่องนี้ไว้ได้
สร้างความ “เชื่อ” ในแบบที่ตัวเองถนัด
อย่างไรก็ตามเพื่อให้ความเป็นตัวเองนั้นแสดงผลออกมาได้ดีที่สุด Influencer ที่ดีก็ควรจะทำให้ผู้บริโภคสามารถ “เชื่อ” ในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้เช่นเดียวกัน โดยถ้าเจาะไปที่ผู้บริโภคกลุ่ม Generation X จะพบว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับสาระความรู้ และความคิดสร้างสรรค์เป็นอันดับต้นๆ เลยด้วย
ส่วน Generation Y จะให้ความสำคัญกับสาระความรู้เช่นเดียวกัน แต่จะเน้นที่ความเป็นตัวของตัวเองของ Influencer คนนั้นๆ เช่นกัน ดังนั้นการวางแผนสร้างตัวเองให้เป็น Influencer ก็ต้องดูให้ดีว่าตัวเองถนัดเนื้อหาแบบไหน และอยากเป็นที่ต้องการของแบรนด์สินค้าประเภทใด
เนื่องจากคน Generation X นั้นค่อนข้างเชื่อใน Influencer ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในทางกลับกันคน Generation Y กลับชื่นชอบ Influencer ที่มีความถนัดเฉพาะด้าน เช่นการเงิน, อาหาร หรืออื่นๆ รวมถึงมีชื่อเสียงเฉพาะกลุ่มนั้นๆ มากกว่า แสดงให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เกิดการ “ช้อป” จนถึงเป้าหมายผู้จ้าง
บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เล่าให้ฟังว่า สุดท้ายแล้วการจ้าง Influencer นั้นมีเป้าหมายเสมอ โดยหลักจะมี 2 แบบด้วยกันคือ ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หรือ Awearness กับช่วยเพิ่มยอดขาย หรือ Sale ให้กับผู้จ้าง
“ทั้งหมดนี้มันคือการทำให้แบรนด์สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคจนทางนั้นได้ “ช้อป” ทั้งเรื่อง Awareness หรือ Sale ตามแต่ที่ Influencer จะช่วย ดังนั้นคนที่เป็น Influencer ก็ต้องเข้าใจในมุมมอง แต่ก็อย่าลืมความเป็นตัวเองที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความแตกต่างเมื่อเทียบกับ Influencer คนอื่น”
สำหรับการจ้างนั้น หากแบงเป็นฝั่งองค์กรใหญ่จะเน้นเรื่อง Awareness ส่วนถ้าเป็นองค์กรขนาดกลางถึงเล็กจะเน้นเรื่องยอดขาย ส่วนการตั้งราคาค่าจ้างโดยคร่าวนั้นจะแปรผันตามจำนวน Follower เช่นมีผู้ติดตามหลักพันก็อาจได้ค่าตอบแทนหลักพันเป็นต้น
สรุป
เมื่อยุคนี้ใครๆ ก็เป็น Influencer ได้ ทำให้การแข่งขันในอาชีพนี้ค่อนข้างสูง แต่เมื่อแบรนด์อยากเข้าใกล้ผู้บริโภคมากกว่าเดิม ก็ไม่แปลกที่ถึงการแข่งขันสูง แต่ความต้องการก็ยังมีอยู่ ดังนั้นการพยายามเข้าใจกลยุทธ์การทำตลาด และนำมาพัฒนากับการทำอาชีพนี้ ก็น่าจะช่วยให้เกิดความยั่งยืนในการเป็น Influencer ได้เช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา