มาทำความรู้จัก 4 เทคนิคในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่แนวคิด Work-Life Integration ผสานชีวิตส่วนตัว และการทำงานเข้าด้วยกันเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในการทำงานยุคก่อนๆ นั้น มีการพูดถึง Work-Life Balance กันอย่างมากเป็นการแบ่งความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวออกจากกันอย่างลงตัวเป็นการจัดสรรชีวิตของแต่ละคนเพื่อให้มีความสุขทั้งการทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน
แต่ในยุคนี้การทำงานจะพูดถึง Work-Life Balance อย่างเดียวไม่พอแล้วเพราะเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทส่งผลทำให้การทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศก็ทำงานได้มีการติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา
ตอนนี้ได้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Work-Life Integration หรือการผสมผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน เป้นแนวคิดใหม่ที่เริ่มมีการปรับใช้ในการทำงานมากขึ้น
JobThai ได้ทำการแนะนำ 4 เทคนิคเปลี่ยนองค์กรเป็น “Work-Life Integration” เพื่อมัดใจคนทำงานยุคใหม่ และเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับการปรับตัวรองรับรูปแบบการทำงานในอนาคต
- เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Hours)
เริ่มต้นกันที่เรื่องของเวลาในการทำงาน เพราะแนวคิดแบบ “Work-Life Integration” จะเน้นที่ประสิทธิภาพงานมากกว่าเวลาเข้า–ออก ซึ่งหลายบริษัทในประเทศไทยเริ่มนำเทคนิคนี้มาปรับใช้กันมากขึ้น ด้วยการให้พนักงานจัดสรรชั่วโมงในการทำงานด้วยตัวเอง แทนที่จะต้องเข้าทำงาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น ก็ให้พนักงานเก็บชั่วโมงการทำงานตามจำนวนที่กำหนดไว้ในแต่ละสัปดาห์
ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับรูปแบบในการทำงานของคนแต่ละประเภท อย่างคนที่ชอบตื่นเช้า (Early Bird) อาจต้องการเข้างานเช้ากว่าคนอื่น ๆ และเลิกงานเร็วขึ้นเพื่อไปทำกิจกรรมตามที่ต้องการ หรือคนที่ชอบใช้ชีวิตกลางคืน (Night Owl) มักจะไม่มีสมาธิกับการทำงานในช่วงกลางวันก็อาจจะเข้างานสายหน่อยแต่กลับค่ำกว่าคนอื่นๆเป็นต้น
ดังนั้นการจัดสรรเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น จะช่วยให้พนักงานได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ตามแบบที่เขาต้องการ
2. ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Remote Working)
อย่างที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ไร้พรมแดนด้านการสื่อสารเวลาและสถานที่ทำงานทำให้การเข้าออฟฟิศเพื่อนั่งทำงานไม่ใช่สิ่งสำคัญสูงสุดอีกต่อไปเพราะแค่มีโน้ตบุ๊คสักเครื่องและอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำงานจากมุมไหนของโลกได้แล้ว
เมื่อมีการประชุมก็สามารถ Video Conference หรือหากต้องการส่งงานก็สามารถส่งผ่านCloud Server ได้ ซึ่งบริษัทในองค์กรประเภทสตาร์ทอัพ (Startup) เริ่มนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้กันแล้ว
ในขณะเดียวกันฝั่งพนักงานเองก็ต้องมีความรับผิดชอบและจัดตารางการทำงานของตัวเองให้ดี เพราะทั้งเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นและทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้เราอยู่ในกฎระเบียบของบริษัทน้อยลง หากไม่จัดการตารางชีวิตให้ดีก็อาจส่งผลกระทบกับการทำงานส่วนอื่น ๆ ได้
3. สวัสดิการและสิทธิพิเศษที่เลือกได้ (Customizable Perks)
เป็นการให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นรายบุคคลมากขึ้นเพราะพนักงานแต่ละคนล้วนมีความสนใจที่แตกต่างกันบางคนชอบดนตรีและความบันเทิงอาจต้องการส่วนลดบัตรคอนเสิร์ตหรือบัตรชมภาพยนตร์บางคนอยากได้เงินสนับสนุนค่าสมาชิกฟิตเนสหรือบางคนก็ต้องการวันลาพักร้อนที่มากกว่าปกติ
ดังนั้นการให้พนักงานเลือกสวัสดิการและสิทธิพิเศษอื่น ๆ ด้วยตัวเองได้นั้น นอกจากจะช่วยจูงใจให้คนอยากเข้ามาทำงานกับองค์กรแล้ว ยังเป็นวิธีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรใส่ใจในตัวของพนักงาน ซึ่งจะช่วยรักษาคนที่มีศักยภาพไว้ได้อีกด้วย
4. สร้างโอกาสทางการเรียนรู้ (Invest in Training)
เพราะโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจึงเป็นเรื่องสำคัญมากโดยเฉพาะคนยุคมิลเลนเนียลที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในหลายๆองค์กรซึ่งคนเหล่านี้มีความรู้สึกว่าหากบริษัทสนับสนุนการเติบโตของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการเปิดคอร์สอบรมภายในบริษัท
การส่งพนักงานไปอบรมหรือศึกษาดูงาน รวมถึงการสนับสนุนค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับงาน จะช่วยให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองและเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้นั่นเอง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา