กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดสำนักงานที่ประเทศเวียดนามเป็นสำนักงานในต่างประเทศแห่งแรก เพื่อรองรับศักยภาพในการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง และต้องการมีทีมเพื่อเข้าใจคนท้องถิ่นเต็มที่
ลงทุน 4,000 ล้านใน 3 ปี หวังเข้าใจคนเวียดนามให้มากที่สุด
ถือเป็นก้าวสำคัญของธุรกิจต่างประเทศของกลุ่มธุรกิจ TCP ในการปักหลักเปิดสำนักงานที่เวียดนาม ซึ่ง TCP เป็นที่รู้จักกันในนามของผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแบรนด์กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ ซันสแนค และวอริเออร์
การเปิดบริษัท TCPVN และสำนักงานที่เวียดนามครั้งนี้ ถือเป็นสำนักงานแห่งแรกในต่างประเทศของ TCP ที่เข้าถือหุ้น 100% ได้เลือกโลเคชั่นที่นครโฮจิมินห์ที่เป็นเมือศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ โดยที่ประเทศอื่นมีเพียงการทำตลาด หรือมีโรงงาน แต่ดูเหมือนเวียดนามจะมีมนต์ขลังอะไรที่ทำให้ TCP เลือกปักหลักที่นี่ได้
TCP ได้เริ่มเปิดสำนักงานได้ประมาณ 4 เดือน พร้อมกับวางแผนการลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ว่าใช้งบลงทุน 4,000 ล้านบาท โดยใช้ครอบคลุมทั้งในการการพัฒนาสินค้า โดยตั้งเป้ามีออกสินค้าใหม่อย่างน้อย 1 แบรนด์ ลงทุนด้านการตลาด และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคคนเวียดนามให้มากที่สุด
สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า
“การเปิดสำนักงานที่เวียดนามถือเป็นไปตามแผนธุรกิจของกลุ่มที่ต้องการให้ธุรกิจโตขึ้น 3 เท่า มียอกขายแสนล้านภายใน 5 ปี รวมถึงอยากเปิดสำนักงาน หรือโรงงานในต่างประเทศอย่างน้อย 1 แห่งต่อปี เพื่อเป็นไปตามเป้าหมายสู่ House of Brand หรือองค์กรที่มีหลายแบรนด์สินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม
เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นไปตามแผนให้ได้จำเป็นต้องมีสำนักงาน และทีมงานในต่างประเทศ เพื่อให้เข้าจพฤติกรรมของคนท้องถิ่น และตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละตลาดได้”
ทำไม TCP ต้องเปิดสำนักงานที่เวียดนาม
จริงๆ แล้ว TCP ได้เข้ามาลงทุน และทำตลาดที่เวียดนามได้ 30 ปีแล้ว โดยจำหน่ายสินค้า “กระทิงแดง” เริ่มต้นจากการเทรดดิ้งก่อน หลังจากนั้นจึงได้เปิดโรงงานผลิตได้ 18 ปี และได้เห็นแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี
ความสำคัญของประเทศเวียดนามคือตลาดเครื่องดื่มชูกำลังใหญ่มาก มูลค่า 25,000 ล้านบาท เป็นรองเพียงแค่ตลาดน้ำอัดลม อีกทั้งพฤติกรรมของคนเวียดนามในการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังก็แตกต่างจากคนไทย มีศักยภาพในการเติบโตสูง
สราวุฒิบอกว่า ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่เวียดนามใหญ่มาก และแข่งขันกันสูงมาก มีแบรนด์เกิดใหม่ทุกไตรมาส เกิดใหม่และตาย คิดว่าจะทำงานแบบเดิมไม่เวิร์ก จะต้องมีทีมที่นี่ มีทีมวางแผนตลอดเวลา เข้าใจผู้บริโภคในท้องถิ่น
เหตุผลที่เลือกเปิดสำนักงานที่เวียดนามนั้น มีอยุ่ 5 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่
- ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคคนเวียดนามในการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังไม่เหมือนคนไทยภาพลักษณ์ของที่นี่คือ ดื่มเพื่อดับกระหาย บางคนดื่มพร้อมอาหาร คนที่นี่เป็นวัยหนุ่มสาวเยอะ และเป็นคนทำงานหนัก ต้องการพลังงานมาช่วย เครื่องดื่มชูกำลังจึงเข้ามาตอบโจทย์
2. ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่เวียดนามเป็นตลาดใหญ่มากเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีน และในประเทศมีการลงทุนอุตสาหกรรมมีการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ ประชากรมีการเติบโตสูงโดยเฉพาะคนชั้นกลาง แนวโน้มการบริโภคสูงขึ้น เลือกสินค้ามีคุณภาพ ปัจจัยราคาเป็นปัจจัยรอง
3. สินค้าที่จำหน่ายที่นี่มียอดขายเติบโตขึ้นทุกปีเฉลี่ยปีละ 25% เป็นการเติบโตมากกว่าตลาด
4. ตลาดเวียดนามให้การยอมรับสินค้าไทยว่าเป็นสินค้ามีคุณภาพ รวมถึงแพ้คเกจจิ้งของที่นี่มีแต่กระป๋อง เพราะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนเวียดนาม มีความทันสมัยและพรีเมี่ยม
5. มีการทำตลาดมานานกว่า 30 ปี มีการเติบโตมาโดยตลอด จึงถึงเวลาที่ตั้งทีมงานที่นี่เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่แท้จริง กระทิงแดงอยู่มาสามสิบปีได้รับการเติบโตมาตลอดถึงเวลามาตั้งทีมงานที่นี่
ศักยภาพของเวียดนามมีอะไรบ้าง
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่หลายชาติต้องการเข้ามาลงทุน เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ และประชากร เมื่อดูจากข้อมูลสถิติแล้วก็พบว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย
– เวียดนามมีประชากร 96 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 14 ของโลก
– อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ที่อันดับที่ 34 อัตราความเร็วของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่ที่อันดับ 5 ในอาเซียน
– จากจำนวนประชากรทั้งหมด 96 ล้านคน มีอายุเฉลี่ย 30 ปีเท่านั้น เรียกว่าอยู่ในวัยหนุ่มสาวทั้งสิ้น มีอัตราอ่านออกเชียนได้ 95% มีรายได้เฉลี่ย 6,432 ดอลลาร์สหรัฐ
– ในแง่ของตลาดกลุ่มเครื่องดื่มเป็นกลุ่มใหญ่ในตลาดสินค้า FMCG (สินค้าอุปโภคบริโภค) มีสัดส่วน 37.3% เติบโต 5.1%
ดันแบรนด์น้องใหม่ “วอริเออร์” ขายเฉพาะที่นี่
นอกจากมีการทำตลาดของแบรนด์กระทิงแดงแล้ว TCP ยังได้ส่งผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง “วอริเออร์” เครื่องดื่มชูกำลังน้องใหม่ที่ลงชิมลางตลาดได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นการพัฒนาสินค้าที่เฉพาะตลาดเวียดนามโดยเฉพาะ
ถ้ากระทิงแดงวางจุดยืนเป็นเครื่องดื่ชูกำลังที่เน้นฟังก์ชันนอลแล้ว วอริเวอร์เป็นเหมือนเครื่องดื่มไฮบริดระหว่างเครื่องดื่มชูกำลังกับน้ำอัดลม ได้ทำมาตีตลาดคนรุ่นใหม่สามารถดื่มแทนน้ำอัดลมได้
หลังจากทำตลาดมาได้ไม่นานก็สามารถมีส่วนแบ่งตลาด 5% ได้แล้ว ติดท็อป 5 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังได้ ส่วนกระทิงแดงมีส่วนแบ่งตลาด 40% เป็นเบอร์ 1 ของตลาด เป้าหมายต้องการกินส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 50%
สรุป
เป็นทิศทางที่ดีของแบรนด์ไทยที่สยายปีกในการลงทุนในต่างประเทศ โดยที่แบรนด์กระทิงแดง หรือเรดบูลก็เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในต่างประเทศอยู่แล้ว การที่ตัดสินใจเปิดสำนักงานเพื่อทำตลาดยอ่างจริงจังในแต่ละประเทศถือเป็นกลยุทธ์ที่ดี ช่วยสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา