Brand Inside วิเคราะห์กลุ่มเทคโนโลยีว่าทำไมจากหุ้นที่นักลงทุนชื่นชอบมากที่สุด กลับกลายเป็นหุ้นที่ถูกเทขายจากนักลงทุนมากที่สุด และไม่ใช่กลุ่มลูกรักอีกต่อไป
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก หรือแม้แต่ตลาดหุ้นแนสแด็ก ได้ตกลงมาเนื่องจากความกังวลในหลายๆ เรื่อง อย่างเช่น สงครามการค้า ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัวลง และรวมไปถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ดีกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในช่วงตลาดขาลงที่ผ่านมาคือกลุ่มเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นทั้งในสหรัฐ รวมไปถึงในจีนด้วย นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ตกลงมาแล้วเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15 ถึง 20% ยกตัวอย่างเช่น Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google หุ้นได้ตกลงมาเหลือแค่ 1,020 เหรียญสหรัฐ จากจุดสูงสุดในปีนี้ที่อยู่ที่ 1,273.84 เหรียญสหรัฐ รวมไปถึงบริษัทอื่นๆ อย่างเช่น Apple ที่หุ้นตกลงมาแล้ว 26.3% แต่ที่หนักกว่าเพื่อนที่สุดคือ Netflix คือหุ้นตกลงมาแล้วเกือบ 40%
Brand Inside รวบรวมสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาตกลงมาได้ขนาดนี้
Valuation ที่แพง มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูง
ในช่วงที่ผ่านมาค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ซื้อขายกันใน P/E ที่สูงมาก เราจะเห็นหุ้นอย่าง Netflix หรือ Amazon ซื้อขายกันที่ค่า P/E เกิน 100 ถึงแม้ว่าล่าสุดราคาลงมาเกิน 20% จากจุดสูงสุดในปีนี้ก็ยังซื้อขายที่ P/E สูงอยู่ดี
นอกจากนี้อย่างกลุ่มผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia ที่งบไตรมาสล่าสุดทำผลงานได้ดี แต่ความคาดหวังนักลงทุนนั้นหวังว่าบริษัทจะทำผลงานได้ดีกว่านี้ ก็ทำให้หุ้นนั้นตกลงเกิน 20% ภายในเวลาไม่กี่วัน เราจะเห็นว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซื้อขายบนความคาดหวังที่สูงมากๆ
รวมไปถึงมุมมองว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างเทคโนโลยีที่สามารถ Disrupt อุตสาหกรรมในอดีต ซึ่งทำให้มีการซื้อขายที่ P/E แพงๆ แต่พอถึงเวลาความเป็นจริงแล้วไม่เป็นอย่างที่คาด หุ้นก็โดนขายหนัก
เศรษฐกิจโลกที่ไม่เหมือนเดิม
ปัจจัยสำคัญมาจากเรื่องของสงครามการค้า ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัวขึ้นมา ปัจจัยสำคัญของสงครามการค้าที่เกี่ยวกับโลกเทคโนโลยีคือเรื่องของ Supply Chain ที่ประเทศจีนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผลิตวงจร Electronic ต่างๆ ฯลฯ และเป้าหมายของสงครามการค้าคือสหรัฐฯ ต้องการเจรจากับจีนในเรื่องของเทคโนโลยี ทำให้เกิดความชะงักตัวลง
นอกจากนี้ผู้ได้รับผลกระทบใหญ่อย่างประเทศจีนก็กำลังประสบสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้พลังการซื้อของชาวจีนลดลงอย่างมหาศาล แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการยืนยันจากบริษัทเทคโนโลยีในจีนเองว่าสงครามการค้าไม่ทำให้ยอดขายของบริษัทตกลงก็ตาม
สถาบันการเงินปรับราคาเป้าหมาย
ไม่ใช่แค่ความคาดหวังที่สูงของนักลงทุนรายย่อยๆ เท่านั้น แม้แต่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่ต้องออกบทวิเคราะห์ให้กับกองทุน หรือสถาบันการเงินด้วยกันก็ต้องปรับประมาณการราคาหุ้นลงมา ยกตัวอย่างเช่น ล่าสุดทาง Goldman Sachs ได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้น Apple ใหม่ เนื่องจากการขาย iPhone อาจไม่ได้ตามยอดที่นักวิเคราะห์คาดไว้
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มเทคโนโลยีโดนสถาบันการเงินตัดราคาเป้าหมาย และประมาณการกำไรลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นๆ ได้เปลี่ยนไป ไม่เหมือนในอดีต
ซึ่งการปรับเป้าหมายและมุมมองของสถาบันการเงิน ทำให้กองทุนหรือสถาบันการเงินที่เห็นด้วยกับมุมมองของสถาบันการเงินที่ทำบทวิเคราะห์เทขายหุ้นออกมา กลายเป็นซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิมอีกด้วย
หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มเข้มงวดมากขึ้น
ในช่วงปีที่ผ่านมา เราจะเริ่มเห็นหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ เริ่มเข้มงวดกับกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของเหตุการณ์ที่ Facebook ได้ทำข้อมูลหลุดครั้งใหญ่ หน่วยงานกำกับดูและของ EU เตรียมที่จะปรับ Google ในข้อหาที่ Android ผูกขาดเว็บบราวเซอร์อย่าง Google Chrome ทำให้อนาคตของกลุ่มเทคโนโลยีอาจไม่สดใสเช่นเคย
ยิ่งกรณีในประเทศจีน ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะ Tencent ที่รายได้หลักๆ ได้มากจากเกมในโทรศัพท์มือถือ ล่าสุดทางการจีนจะให้ประชาชนถ้าหากจะเล่นเกมต้องลงทะเบียนโดยใช้เลขบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อที่จะตรวจสอบว่าไม่ให้เยาวชนนั้นติดเกม
ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ทำให้อนาคตของกลุ่มเทคโนโลยีเหนื่อยหนักกว่าเดิมแน่นอน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา