Trade war ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่องเพราะ ทั้งจีนและสหรัฐฯ ยังขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา กลายเป็นความเสี่ยงไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลก แน่นอนว่าส่งผลต่อไทย แต่อย่างไรบ้าง?
สรุปแล้ว สหรัฐ-จีน ตั้งกำแพงภาษีระหว่างกันอย่างไรบ้าง?
ดร.
ส่วนฝั่งจีนก็ตอบโต้ด้วยการออกมาตรการทางภาษีเช่นกัน รวมถึงตอนนี้อยู่ที่ 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าน้อยกว่าสหรัฐฯ มากส่วนหนึ่งเพราะจีนนำเข้าจากสหรัฐฯ น้อยกว่าการส่งออกของจีนไปสหรัฐ ทำให้ฝั่งจีนยังมีไพ่ที่พร้อมเปิดใช้งานอีก ซึ่งอาจจะไม่ใช่มาตรการทางภาษีอย่างเดียว เพราะเขามีภาคการบริการ มาตรการการลงทุนที่อาจกดดันเศรษฐกิจสหรัฐได้มากขึ่น
ขณะที่ล่าสุดทางสหรัฐฯ ยังขู่จะขึ้นภาษีเพิ่มขึ้นมาอีก กว่า 256,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้หลายคนยังกังวลเรื่องกำแพงภาษีระหว่าง 2 ประเทศอย่างต่อเนื่อง
ความหวังใหม่ Trump ส่งสัญญาณประนีประนอมได้
แต่จากสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดก็เห็นความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เพราะมีมาตรการทางภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มต้นที่ 10% จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่าจะสูงถึง 25% เลยทำให้กลายเป็นผลดีต่อตลาด อย่างตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศยังปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนหนึ่งเพราะมองว่าการที่ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ เริ่มมาตรการทางภาษีที่ 10% แสดงให้เห็นว่า Trump ยังทยอยขึ้นภาษีเป็นขั้นๆ ให้หลายฝ่ายได้ปรับตัว และมีสัญญาณว่าพร้อมประนีประนอมในการเจรจากับจีนมากขึ้น แม้ว่าสัปดาห์นี้ (ปลายก.ย.) จีนขอไม่เข้าเจรจารอบนี้ แต่หลังฉากท้ังจีน-สหรัฐฯ ต้องมีการพูดคุยกันเรื่องการค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตามการขึ้นภาษีทั้งสหรัฐฯ และจีน ต้องดูว่ามีกับราคาสินค้าอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ผู้บริโภครายย่อยซื้อกินซื้อใช้กัน แต่ฝั่งผู้ประกอบการจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคแล้ว
Trade War จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทย การท่องเที่ยวจะหายไปหรือเปล่า?
อมรเทพ บอกว่า ผลกระทบ Trade war ต่อประเทศไทยข้อดีคือ เราอาจจะได้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มีต้นทุนที่ถูกลงโดยเฉพาะที่เราใช้นำเข้าสุทธิ อย่าง อาหารสัตว์ ถั่วเหลือง
ส่วนผลกระทบฝั่งไทยกับจีน คือ หมวดสินค้าที่ส่งออกไปจีนอาจจะแย่ลง เช่น สินค้าเกษตร ยางพารา ข้าว รวมถึงผู้ส่งออกของไทยไปจีนที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น ฮาร์ดดิกส์ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ สินค้าเกษตร ฯลฯ ขณะเดียวกันถ้าเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอาจจะส่งผลต่อนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยอาจจะลดลง
“ผู้ส่งออกไทยต้องระวังแม้ว่าการส่งออกปีนี้อาจจะเติบโตดี แต่ยอดขายที่สูงปีนี้อาจจะเป็นยอดอนาคตที่คนเร่งซื้อไปสะสมเป็นสต็อกเพราะกลัวเรื่อง Trade war ทำให้ปีหน้ายอดขายอาจจะต่ำลง ผู้ประกอบการต้องปรับตัวตั้งแต่ปีนี้”
ดังนั้นปีหน้า ไม่ว่า Trade war จะยังอยู่หรือไม่ แต่ผู้ประกอบการต้องพัฒนาสินค้า เพิ่มมูลค่า และมองหาตลาดใหม่ๆ ให้ต่างจากสินค้าที่ขายไปเยอะแล้วในปีนี้ หรือพัฒนาไปการผลิตต้นน้ำมากขึ้น เช่น การทำ R&D ในทุกธุรกิจ อย่างรถยนต์ ต้องศึกษาว่าจะไปไฮบริดไหม EV ไหม เป็นต้น
“ปัญหาพื้นฐานของไทยคือ เราไม่ได้พัฒนามานานมากแล้ว ดังนั้นเราต้องหันมาทำเรื่องต้นน้ำมากขึ้น เช่น พัฒนา Design R&D ฯลฯ ขณะเดียวกันต้องเร่งลงทุนเพราะดอกเบี้ยยังอยู่ในภาวะต่ำ ถ้าลงทุนอะไรก็ยังต้นทุนต่ำ เลยมองว่าควรจะลงทุนอย่างอื่นที่ต่างจากปีนี้”
อย่างไรก็ตามหาก Trade War ยังลากยาวก็อาจจะกระทบเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะไม่ถึงขั้นวิกฤต และจะไม่ส่งผลกระทบต่อไทยเราไม่รุนแรงเช่นกัน
สรุป
Trade war ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่องเพราะ ทั้งจีนและสหรัฐฯ ยังขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา กลายเป็นความเสี่ยงไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลก และมีผลต่อเนื่องมากถึงไทย ทั้งฝั่งผู้ส่งออกที่ต้องปรับตัว ปรับไลน์สินค้าให้หลากหลายมากขึ้นและต้องพัฒนาให้ง่ายขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา