ช่วงนี้นักลงทุนมีเรื่องต้องหวั่นไหวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะปัญหาต่างชาติเทขายหุ้นไทย ดัชนี SET ตกวูบ หรือ ผลกระทบจาก Trade War (สงครามการค้า) และ Brexit (สถานการณ์อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป) แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส มาอ่านบทวิเคราะห์ของ บล. ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) และ SCBS หาทางเพิ่มผลตอบแทนกันดีกว่า
“ปริญญ์” ชี้เดือนนี้ต้องเก็บหุ้น เผย 5 กลุ่มหุ้นมีแววโต แต่กลุ่มแบงก์ยังอืด
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า เดือนก.ค.นี้เป็นช่วงที่นักลงทุนควรเข้าเก็บหุ้นเพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่เพิ่มสูงขึ้นนัก เนื่องจากภาพรวมผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ยังไม่เติบโตมาก เพราะหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มธนาคารยังไม่เติบโตเท่าที่ควร ซึ่งไตรมาส 3 เราจะเริ่มเห็นกองทุนรวมเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้บ้างแล้ว
ส่วนในไตรมาส 3 นี้มองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะกองทุนรวมของไทยเริ่มเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้ เพราะเห้นความเป็นไปได้ที่หุ้นไทยจะเติบโตในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อาจจะเห็นดัชนีหุ้นไทยโตก้าวกระโดด 200-300 จุด เหมือนปีก่อน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะทรงตัวในไตรมาส 3 และปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4
ส่วนหุ้นที่ยังมีทิศทางการเติบโตดี แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มได้แก่
- กลุ่มก่อสร้าง ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (Stec) บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (Uniq)
- กลุ่มบ้านและอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (Spali)
- กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) (BDMS)
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (amata) บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA)
- กลุ่มพลังงาน ที่เห็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)
ทั่วโลกรอข่าวดีการเลือกตั้งในปีหน้า โปรยความหวังดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 61 แตะ 1,800-1,900 จุด
ปริญญ์ บอกว่า ปีนี้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาศที่จะแตะ 1,800-1,900 จุด แต่ต้องมี 2 ปัจจัย คือ 1. ต้องมีข่าวการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างชัดเจน จะสามารถเรียกความสนใจจากต่างชาติได้ดี เพราะมิฉะนั้นนักลงทุนอาจจะสนใจลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีสตอรี่ที่ดีกว่าแทน
2.การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หากสามารถแก้ปัญหาเรื่อง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างได้ จะทำให้โครงการขนาดใหญ่ชัดเจนขึ้น เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าส่วนขยายสายสีม่วงและสีส้ม
Trade War กระทบแค่ระยะสั้น ส่วนเทรนดอกเบี้ยขาขึ้นอาจส่งผลให้คนเทขายหุ้นใน EM
เรามองว่า Trade War จะส่งผลกระทบต่อตลาดโลกแค่ระยะสั้น โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนและคลี่คลายในช่วงพ.ย.-ธ.ค. 61 หลังจบการเลือกตั้งช่วงกลางของสหรัฐ (Midterm Election) ขณะเดียวกันทางสหรัฐฯไม่สามารถทำมาตรการการค้ารุนแรงมาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐที่ทำการค้ากับจีน ส่วนจีนก็สามารถหาตลาดส่งออกที่อื่นได้อยู่แล้วจึงไม่น่าส่งผลกระทบมาก
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากเรื่องที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐเติบโตขึ้น ขณะเดียวกันอาจกระทบต่อการเทขายหุ้นใน กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM-Emerging Market) รวมถึงไทยจากที่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเทขายหุ้นไทยกว่า 1.8 แสนล้านบาท ทั้งปีนี้ อาจเทขายมากกว่า 2.0 แสนล้านบาท
บล. ไทยพาณิชย์ ชี้หุ้นเด่นไตรมาส 3/61
ด้านบล. ไทยพาณิชย์ (SCBS) วิเคราะห์สถานการณ์ว่า ไตรมาส 3/61 นี้ แนะนำการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากค่าเงินอ่อนค่า (ล่าสุดอยู่ที่ 33.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) โดยจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกที่คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ได้แก่
- บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (HANA)
- บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (KCE)
- บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF)
- บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TU)
นอกจากนี้จากเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น เราแนะนำการเลือกหุ้นที่ valuation (มูลค่าของหุ้น) ไม่แพง โดยดูจากระดับราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ยังไม่สูง และราคายังล้าหลังตลาดโดยรวม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารกรุงไทย (KTB), PTT, PTTEP
มุมมองตลาดหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ยังได้รับแรงกกดดันจากสงครามการค้า ที่ยังไม่เห็นวี่แววการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวลดลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง และกระทบต่อ SET index ปรับตัวลงต่อ คาดว่าวันนี้หุ้นไทยจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,600-1,650 จุด
สรุป
เดือนก.ค. นี้ เหมาะที่นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้ เพราะราคาหุ้นยังไม่สูง ขณะเดียวกันยังมีทิศทางว่าสิ้นปีนี้หุ้นจะปรับตัวขึ้น โดยหุ้นที่น่าสนใจคือได้รับผลดีจากการส่งออก อสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ฯลฯ แต่นักลงทุนยังต้องจับตามองปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะการเลือกตั้ง และปัจจัยนอกประเทศอย่างสงครามการค้า เป็นต้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา