หรือ “ความสวย” จะเป็นเทรนขาลง ? หุ้น Beauty ราคาตกเกินครึ่ง

ช่วงเดือน เม.. ที่ผ่านมา มีข่าวดังเรื่องผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ผ่าน อย. ทำให้คน (อยาก) สวยเริ่มกลัวๆ กล้าๆ และส่งผลกระทบต่อธุรกิจความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง ฯลฯ หนึ่งในนั้น Beauty ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Beauty buffet, Beauty Cottage และ Beauty Market ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย

ภาพจาก Shutterstock

ราคาหุ้น Beauty ร่วงหนัก ผลต่อเนื่องจากอย.คุมเข้ม ผู้บริโภคระมัดระวัง

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (Beauty) บอกว่า ช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวต่างๆ และความกังวลของผู้บริโภค จนทำให้ราคาหุ้นที่อยู่สูงกว่า 20 บาท/หุ้น ตอนนี้ตกลงมาอยู่ที่ 9.20 บาท/หุ้น (เวลา 15.51น.) ซึ่งมีคนถามว่าเรา (บริษัทฯ) จะซื้อหุ้นคืนไหม ผมบอกได้ว่า ผมไม่มีความคิดเรื่องการซื้อขายหุ้น แต่มีหน้าที่ในการทำเรื่องประสิทธิภาพของบริษัทให้สูงขึ้นมากกว่า

เราก็ห่วงนักลงทุน เราต้องทำ performance ทำยอดขาย บริหารให้ดี ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด หาเรื่องใหม่ๆ แนวทางแปลกๆ มาแก้ปัญหาในโลกที่ถูก distrub เพื่อให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น

ภาพจาก Beauty

ยอมรับ Q2/61 รายได้ไม่ถึงเป้า แต่มั่นใจไม่ทิ้งหุ้น ไม่ป่วย ไม่ตาย

หมอสุวิน เล่าว่า ไตรมาส 2 นี้ รายได้ของบริษัทอาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ยังรักษากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% โดยประเมินว่ารายได้ลดลงเพราะ 3 สาเหตุ 1. สินค้า Beauty Cottage บางตัวที่มียอดขายสูงเมื่อปีที่แล้วกลับขายไม่ดีในปีนี้ แต่เราก็เตรียมออกซีรีย์ใหม่เพื่อกระตุ้นตลาด

2. กระแสข่าวที่บางบริษัทมีปัญหา สินค้าไม่ผ่านมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เลยส่งผลกระทบให้ฐานลูกค้ารายย่อยระมัดระวังการซื้อมากขึ้น ขณะเดียวกันทางบริษัท Beauty ก็มีขั้นตอน และใช้เวลามากขึ้นในการขออนุญาตต่างๆ และ 3. ข่าวนี้ยังกระทบต่อการส่งออกสินค้าของบริษัทฯไปจีน ทำให้กระบวนการนำเข้า ตรวจสินค้ามีมากขึ้น ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบของข่าว อย. กระทบต่อบริษัทเรามากที่สุดในเดือน .. และเดือนมิ.. รายได้ก็ปรับตัวดีขึ้นแล้ว ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าบริษัทเรา ปลอมออเดอร์ ผมจะขายหุ้นทิ้ง ผมป่วยใกล้ตาย ข่าวทั้งหมดไม่จริง ผมและครอบครัวยังถือหุ้นไว้ที่ 20% และผมยังเตะปิ๊บดังอยู่

การแข่งขันสูง แก้เกมส์ ออกซีรีย์ “Luxury” และขยายตลาดต่างประเทศ

โลกเราเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น การแข่งขันก็สูงขึ้นเช่นกัน แต่บริษัทเราจะเติบโตแบบ selective มากขึ้น ในไตรมาส 3 นี้เราเลยออกซีรีย์ใหม่ ชื่อ “Luxury” ทำทั้งเรื่องการตลาดในรูปแบบ Online to Offline เพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากนี้ประมาณไตรมาส 4 ทางบริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่ม 3-4 ไอเท็มซึ่งเราต้องระมัดระวังมากขึ้น

รวมถึงการทำ Beauty & Health หรือเทรนที่ทั่วโลกกำลังสนใจ เพราะนอกจากเครื่องสำอางทำให้คนสวยจากภายนอก เรามีอาหารเสริม หรือ การบำรุงผิวทำให้สวยจากภายในควบคู่ไปด้วย

นอกจากนี้กลยุทธ์หลักคือการขยายตลาดในต่างประเทศด้วยกลยุทธ์ Cross border E-Commerce ซึ่งจะเน้นฐานลูกค้าในสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) โดยเราจะร่วมมือกับ 5 เว็บไซด์ที่มี Platform online เช่น TMALL KAOLA VIP YUNJI และ JD ปีนี้ก็มองว่าจะสร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาท

การทำ Cross border จะช่วยเรื่องราคาให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะคนจีนเขาต้องการของแท้ ของดี เขาก็จะไม่ชอบคนที่หิ้วของเราไปขายที่นู่น แต่อยากจะสั่งกับบริษัทเราโดยตรงซึ่ง ช่องทางนี้จะมีราคาสูงกว่าการซื้อของในตลาดแต่เขาก็ยอมซื้อ และยังเป็นผลดีต่อตัวแทนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพราะเขาเก็บภาษีจากคนที่หิ้วของมาขายที่จีน แต่ถ้าเรานำเข้าอย่างถูกต้องก็เพิ่มการเก็บภาษีของจีนด้วย

ภาพจาก shutterstock

แน่นอนว่า เมื่อ E-commerce มาแรง เราก็มองว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากช่องทางนี้ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 2% จากรายได้ของบริษัททั้งหมด  ซึ่งหลังจากเราสร้างทีมด้าน E-commerce โดยเฉพาะแล้ว ประกอบกับไตรมาส 3 และ 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น น่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง

ส่วนรายได้จากต่างประเทศจากทุกช่องทางคิดเป็น 13-15% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ยังมีทิศทางโตต่อเนื่อง เพราะเดือนพ..นี้ บริษัทเราจะมีแคมเปญขนาดใหญ่พร้อมกันใน 11 ประเทศ (มีทั้ง Asia) เพื่อสร้างแบรนด์ให้เกิดขึ้น ทั้งในช่องทาง Online และ offline

ภาพจาก ShutterStock

ย้ำชัดไม่ลดเป้าหมาย ชูแผนระยะยาว 5 ปี รายได้บริษัทแตะ 1 หมื่นล้านบาท

Beauty เราไม่ลดเป้าหมายรายได้แน่นอน ปีนี้ตั้งเป้าฯไว้ที่ 4,290 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% ในขณะที่แผน 5 ปี มองว่าจะมีรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเครื่องสำอางรวมกว่า 10% จากปี 2560 ที่เรามีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 2-3% จากมูลค่าตลาดเครื่องสำอางปี 2560 ที่อยู่ 178,000 ล้านบาท

ส่วน Modern Trade หรือ Cross Border ในตลาดมีมูลค่า 2 ล้านล้านบาท เราจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดได้เท่าไรก็ต้องรอดู 

สรุป

หุ้นเครื่องสำอางยังมีโอกาสเติบโตอีกเยอะ เพราะตลาดในประเทศมีช่วงไฮซีซั่นคือ ไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งทางบริษัทก็ออกสินค้าใหม่ เพื่อกระตุ้นความต้องการของลูกค้า ที่สำคัญยังรุกตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ฯลฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลก แต่ราคาหุ้น Beauty จะลดลงอีกไหม คงต้องจับตามองกันต่อไป

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา