ด้วยชีวิตของหลายคนที่เร่งรีบจนไม่มีเวลาเข้าครัวเพื่อทำกับข้าวกินเอง ทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องครัวมูลค่า 8,000 ล้านบาทโตลำบาก แบรนด์เครื่องครัวนกนางนวล หรือ Seagull จึงคิดใหม่ด้วยการหาวิธีอื่นๆ มากระตุ้นยอดขาย
ภาพรวมตลาดที่ไม่ฟื้นตัวหลังผู้ซื้อชะลอจับจ่าย
นอกจากเรื่องชีวิตที่เร่งรีบของหลายคนแล้ว ปัจจุบันภาพรวมตลาดเครื่องครัวยังถูกกระทบจากปัจจัยเรื่องผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย เล่นเอาตลาดนี้ที่มูลค่า 8,000 ล้านบาทนั้นเติบโตได้ค่อนข้างลำบาก แม้ก่อนหน้านี้ 3 ปีจะมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยทุกปี ดังนั้นการจะเพิ่มยอดขายในสภาวะตลาดขาลง ผู้เล่นที่อยู่ในตลาดนี้ก็จะทำแบบเดิมไม่ได้
นั่นทำให้เครื่องครัวตรานกนางนวล หรือ Seagull เริ่มรื้อแผนการทำตลาดแบบเดิมๆ และหันมาทุ่มงบกับฝั่งออนไลน์มากขึ้น รวมถึงยังสร้างเนื้อหาใหม่ๆ เพื่อดึงผู้บริโภคให้เข้าใจคุณสมบัติของสินค้า Seagull มากขึ้น และทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายได้ในช่วงเวลานี้ รวมถึงอนาคต
อรุณ เรืองจรุงพงศ์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องครัวตรา Seagull และจรวด เล่าให้ฟังว่า ตลาดเครื่องครัวเริ่มทรงตัวมาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว และมันก็มีโอกาสทรงตัวอย่างนี้ไปจนจบปี 2561 ดังนั้นถ้าบริษัทยังใช้วิธีขายแบบเดิมๆ การจะทำให้ธุรกิจเติบโตในช่วงนี้ก็ยาก
Online และ Content Marketing คือเกมใหม่
“ปี 2560 เราปิดยอดขายที่ 1,500 ล้านบาทแทบไม่เติบโตจากปีก่อนหน้านั้น แม้ตั้งแต่ปี 2559 ลงไป 3 ปีเราจะโตราว 10% ทุกปี ซึ่งปี 2561 เราก็หวังว่าจะโต 10% เหมือนปีก่อนๆ แต่มันคงยาก เพราะเราคาดการณ์ว่า 6 เดือนก็น่าจะปิดยอดขายได้ 600 กว่าล้านบาท ดังนั้นการเร่ง Speed ในครึ่งหลังจึงจำเป็นอย่างมาก”
สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดครึ่งปีหลังของ Seagull จะเน้นไปที่การทำตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่ง 70% ของงบการตลาดปีนี้ที่ 30 ล้านบาทเพื่อไปลงทุนในช่องทางดิจิทัลต่างๆ เช่นการพัฒนาช่องทาง E-Commerce ทั้งของตัวเอง และร่วมกับพาร์ทเนอร์ ทั้งยังเร่งพัฒนาช่องทาง Social Media ของตัวเองให้มีผู้ติดตามมากขึ้น
ส่วนฝั่ง Content Marketing ก็มีการร่วมกับ YouTuber และสื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงคนในยุคปัจจุบันที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกดิจิทัลมากกว่าเดิมด้วย นอกจากนี้ยังลงทุนจ้าง “เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี” เป็นพรีเซ็นเตอร์ในรอบ 10 ปี เพื่อสื่อสารเรื่องการทำครัวไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องใช้เวลานานเช่นกัน
อยากเติบโตต้องไปแบบพาร์ทเนอร์ไม่ใช่เดี่ยวๆ
“ถ้าเป็น Seagull ในสมัยก่อนเราจะขายตรงๆ เช่นกลุ่มลูกค้าทั่วไปก็วางในโมเดิร์นเทรด และมีกิจกรรมทางการตลาดบ้าง ส่วนถ้าเป็นลูกค้าองค์กรก็จะวางขายใน Channel ใหญ่ๆ หรือขายตรงไปที่พวกเขาเลย ซึ่งปัจจุบันมันทำไม่ได้แล้ว อย่างฝั่งลูกค้าทั่วไปก็ต้องให้สินค้าดูมี Lifestyle ขึ้น ส่วนลูกค้าองค์กรก็ต้องทำตลาดแบบพาร์ทเนอร์”
ซึ่งการทำตลาดแบบพาร์ทเนอร์นั้น Seagull เลือกที่จะรุกตลาดด้วยการร่วมมือกับร้านอาหารระดับ SME ไม่ว่าจะเป็นการเชิญพวกเขามาเรียนทำอาหารจากอุปกรณ์เครื่องครัวของบริษัท, การช่วยเหลือให้พวกเขาเข้าถึงเครื่องมือการตลาดออนไลน์ รวมถึงเป็นพันธมิตรกับร้านอาหาร 47 ร้านทั่วประเทศไทย เพื่อโปรโมทร้าน และ Seagull ไปด้วยกัน
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าสิ้นปีจะมีร้านอาหารที่เป็นพันธมิตราว 200 ร้าน และเมื่อผนวกแผนต่างๆ รวมกันก็จะทำให้ Seagull สามารถเติบโตในตลาดที่ทดถอยได้ โดยสินค้า Hi-Light ของปีนี้ก็ยังเป็นกลุ่ม Non-Stick เช่นกระทะ หรือหม้อในรูปแบบต่างๆ เพราะซื้อแล้วต้องเปลี่ยนใน 1-2 ปี ต่างกับกลุ่ม Stainless ที่ทนทานกว่า
สรุป
เรียกได้ว่าตอนนี้ไม่ว่าสินค้าแบบไหนก็ต้องทุ่มการตลาดไปที่ออนไลน์มากกว่าเดิม เพราะผู้บริโภคเทไปอยู่ในโลกใบนั้นเยอะมาก และยิ่ง Seagull พยายามทุ่มการทำตลาดแบบนี้ ก็ทำให้การแข่งขันของกลุ่มเครื่องครัวระดับพรี่เมี่ยมที่ผู้เล่นเพียง 2 รายในตลาดยิ่งขับเขี้ยวกันอย่างเมามันแน่ๆ โดยตอนนี้ Seagull มีส่วนแบ่งในตลาดนี้อยู่ 40%
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา