ไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 Jaguar Land Rover (JLR) มียอดขายจากรถเครื่องยนต์ดีเซลถึง 87% ในสหราชอาณาจักร และกลุ่มยุโรป แต่หลังจากนี้ประเทศในยุโรปจะใช้นโยบายลดมลพิษ ทำให้ค่ายรถรายนี้ต้องเร่งปรับตัว
ฝากชีวิตไว้กับเครื่องยนต์ดีเซลไม่ได้อีกแล้ว
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น JLR นั้นฝากชีวิตไว้กับรถเครื่องยนต์ดีเซลเป็นอย่างมาก ซึ่งมันจะไม่ดีต่อการเติบโตในอนาคตของผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศอังกฤษรายนี้แน่นอน เพราะหลายประเทศในกลุ่มยุโรป รวมถึงจีนก็จะเริ่มใช้นโยบายลดมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามขายรถเครื่องยนต์ดีเซล หรือกำหนดให้ใช้งานได้แค่บางพื้นที่
ยิ่งหลังปี 2558 ที่มีเรื่องอื้อฉาวของกลุ่ม Volkswagen เกี่ยวกับการโกงค่าไอเสียของรถเครื่องยนต์ดีเซล ก็ทำให้ความต้องการเครื่องยนต์ดีเซลในกลุ่มยุโรปนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นถ้ากลุ่ม JLR ยังคงฝืนทำตลาดต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่อง และสุดท้ายกลุ่มนี้ก็ยอมลดระดับการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลลงเสียที
โดยล่าสุดกลุ่ม JLR ตัดสินใจลงทุนกว่า 13,500 ล้านปอนด์ (ราว 6 แสนล้านบาท) เพื่อเดินเครื่องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งแบบที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) และเครื่องยนต์ Hybrid ภายใน 3 ปีข้างหน้า ถือเป็นการเพิ่มงบประมาณมากกว่าที่เคยใช้ใน 3 ปีก่อนถึง 26%
และเพื่อให้แผนดังกล่าวสำเร็จไปด้วยดี กลุ่ม JLR ก็ได้รับการอนุมัติจากบริษัทแม่อย่างกลุ่ม Tata Motors จากอินเดียให้ปรับปรุงโรงงานทั้ง 6 แห่งให้รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจะได้เดินหน้าตามแผนที่วางไว้ว่ารถยนต์ที่จำหน่ายในปี 2563 ทุกรุ่นจะมีรุ่นเครื่องยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในตัวเลือก
ทั้งนี้การลงทุนเมื่อ 3 ปีก่อนรวมมูลค่ากว่า 10,700 ล้านปอนด์ (ราว 4.7 แสนล้านบาท) นั้นไม่ได้ทำให้ยอดขาย และรายได้ในปีงบประมาณล่าสุด (สิ้นสุดเดือนมี.ค. 2561) เติบโตได้ตามเป้าหมาย รวมถึงกำไรยังทำได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เล่นเอากระทบกับกระแสเงินสดของบริษัทเลยทีเดียว
สรุป
ปัจจุบันคนยุโรปนั้นเริ่มคิดในการซื้อรถยนต์มากขึ้น เพราะนโยบายที่เคร่งครัดในการลดมลพิษในหลายประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เครื่องยนต์ดีเซลถูกตัดทิ้งเป็นตัวเลือกแรกๆ เพราะมีโอกาสปล่อยมลพิษสูงกว่าเครื่องยนต์ประเภทอื่น แม้ตัวเครื่องจะพัฒนามาดีเลิศขนาดไหนก็ตาม ดังนั้นต้องคอยดูว่า Jaguar Land Rover จะปรับตัวทันกับตลาดหรือไม่
อ้างอิง // Bloomberg, ภาพจาก Jaguar และ Land Rover
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา