ข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้า (Trade War) เลยเป็นเหตุผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทิ่มหัวลงในวันอังคาร (19 มิ.ย.) ที่ผ่านมา
สาเหตุหลักเกิดจากความตึงเครียดกรณีภาษีการค้าระหว่างสหรัฐและสาธารณรัฐประขาชาจีน ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นในช่วงเวลาไม่แน่นอนแบบนี้จะมีตลาดไหนบ้างที่นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุน หรือหาที่หลบพายุซึ่งกำลังโหมกระหน่ำนี้ได้
เริ่มกันที่ การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงในระดับโลก แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศบ้าง แต่ผลตอบแทนของพันธบัตร 10 ปี ยังเคลื่อนไหว(เพิ่มขึ้น)ตรงข้ามกับราคาพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งในวันอังคารที่ผ่านมานักลงทุนยังเข้าซื้อตราสารหนี้ของสหรัฐมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวยังลดลงบ้าง
ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ(USD) มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ราคาทองคำทั่วทั้งตลาดกลับร่วงลงในวันอังคารที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นักลงทุนมองว่า ทองคำ คือ Save Heaven(สินทรัพย์ปลอดภัย) เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่จับต้องได้และเชื่อมโยงไปกับอุปสงค์อุปทานในตลาดซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่นักลงทุนต้องไม่จำกัดตัวเองในการลงทุนแค่ ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ อัตราแลกเปลี่ยน เพราะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่า มีหุ้นบางส่วนที่จะพุ่งขึ้นในช่วงความผันผวนนี้
การลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะช่วยให้หุ้นที่มีปันผลมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนัลงทุนที่ต้องการราย
ได้คงที่เช่น Verizon ยังให้เงินปันผลที่ 4.9%เพิ่มขึ้นเกือบ 2% และแม้ว่าดัชนีดาวโจนส์ ในวันอังคารจะร่วงลงถึง 400 จุดแต่กลุ่มสาธารรูปโภคและกองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ยังคงให้เงินปันผลสูง
ส่วนที่เหลือของตลาดแม้ไม่ค่อยดี นัก แต่ Tom Essaye (ทอม เอสเซย์) ผู้ก่อตั้ง The Sevens Report (บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน) กล่าวในจดหมายข่าวรายวันว่า นักลงทุนควรมุ่งเน้นกลุ่มบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของสหรัฐ
“ถ้าสงครามการค้าบานปลาย จะกดดันทั่วทั้งตลาด แต่ในภาพที่แย่ที่สุด เซคเตอร์ที่ในประเทศสหรัฐ จะมีภาพที่ดีกว่าตลาดนอกประเทศ”
และอีกหนึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple, Facebook, Amazon, Netflix and Google owner Alphabet จะยังมีการเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ และถือเป็น Save Haven ในสถานการณ์ที่มีความวุ่นวาย และมีเรื่องสงครามการค้า
Daniel Ives (แดเนียล ไอฟ์) หัวหน้าฝ่ายวิจัยเทคโนโลยี GBH Insights บอกในรายงานเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีในสินค้าจีนกว่า 200,000 แสนล้านเหรียฐสหรัฐ ว่า “เราเชื่อว่าบริษัทอย่าง Apple และกลุ่มFANG (Facebook Amazon Netflix Google) จะได้รับผลกระทบด้านการเงินน้อย แม้ว่าจะมีกรณีการตอบโต้เรื่องมาตรการทางการค้าก็ตาม”
Ives เล่าต่อว่า Apple อยู่ในจุดที่ดี เพราะมีความสัญญาเรื่องการผลิตสินค้ากับ Foxconn ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต
ไอโฟน Ives มองว่ารัฐบาลจีนไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้ Foxconn ผ่านการกดดัน Apple
“จากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง Apple and Foxconn ในจีน เราจึงเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อย“
ส่วนหุ้นอย่าง FANG Ives คิดว่าเป็นหุ้นที่ได้รับการป้องกันจากกรณีสงครามการค้า เพราะส่วนใหญ่ ทั้ง Facebook, Amazon Netflix และ Google ไม่ได้มีส่วนมากในจีน ซึ่งนับเป็นภาคการบริการมากกว่าภาคการผลิต จึงเป็นเรื่องยากที่จะคิดเรื่องภาษีจาก การโฆษณา เครือข่ายสังคม(social network) ระบบถ่ายทอดสดภาพและเสียง(streaming media) และทีวีซีรีย์ แตกต่างจากการกำหนดภาษีอย่าง รถ เครื่องบิน หรือ อาหาร
สรุป
ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน นักลงทุนยังสามารถลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐ หุ้นที่มีปันผล หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐ เพราะยังมีการเติบโตที่ดี นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นภาคบริการ เช่น Facebook, Amazon, Netflix and Google owner Alphabet ยังถือว่าน่าสนใจ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา