กรณีศึกษา 2 แบรนด์ เริ่มธุรกิจจากออฟไลน์ แล้วกระโดดมาออนไลน์ให้ปัง

ศึกษาการทำธุรกิจของ 2 แบรนด์ “เฮงเฮง หินอ่อน” และ “Kprint” ผู้ประกอบการ SME ที่เริ่มต้นธุรกิจจากออฟไลน์ แล้วพลิกโฉมสู่ออนไลน์เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มเติม

ภายในงานสัมมนา “โครงการ KSME Good to Great ธุรกิจค้าปลีก” ได้มีการให้ความรู้ผู้ประกอบการนักธุรกิจ SME ในการปรับตัวในการทำธุรกิจ เพราะยุคนี้จะพึ่งพาแค่ช่องทางเดียวคงไม่รอด ค้าปลีกก็ได้รับผลกระทบจากออนไลน์ ส่วนออนไลน์อย่างเดียวก็มีข้อจำกัด

จึงมีกรณีศึกษาจาก 2 ธุรกิจที่เริ่มต้นทำธุรกิจจากช่องทางออฟไลน์ แล้วค่อยเสริมด้วยออนไลน์ แม้ว่ายอดขายจะมาจากออฟไลน์มากกว่า แต่ก็ละทิ้งช่องทางออนไลน์ไม่ได้

เฮงเฮง หินอ่อน ตี่จู้เอี๊ยะ 4.0

“เฮงเฮง หินอ่อน” หรือ บริษัท เฮงเฮง 168 จำกัด เป็นบริษัทที่จำหน่ายตี่จู้เอี๊ยะ รวมถึงศาลพระภูมิ ศาลเจ้า ศาลตายาย และของมงคลเสริมฮวงจุ้ยต่างๆ ได้เริ่มต้นจากสินค้าวัสดุหินอ่อนก่อน แล้วมีสินค้าเนื้อกระเบื้อง และทองคำเพิ่มเติม

วุทธิพัฒน์ วิศาลศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮงเฮง 168 จำกัด เล่าให้ฟังว่า

“ทำธุรกิจนี้มาได้ 5 ปีแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงน้ำท่วมปี 2554 พอดี หลายโรงงานถูกน้ำท่วมแล้วตี่จู้เอี๊ยะเสียหายเยอะ เพื่อนที่ทำโรงงานเลยชวนไปซื้อที่แหล่งสินค้า และได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจเพราะมีกำไรสูง เป็น Monopoly ไม่ค่อยมีคนขาย บวกกับตอนนั้นคนหาซื้อเยอะ เลยลงทุนซื้อมาขาย”

เริ่มธุรกิจนี้จากการเปิดหน้าร้านแรกที่ถนนรามอินทรา ใช้เงินลงทุนหลักแสนและหมนุเงินเอาเรื่อยๆ โชคดีที่ย่านนั้นมีขายอยู่เจ้าเดียว และได้พลังของการบอกต่อจึงมียอดขายสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเริ่มเปิดสาขาที่ 2 ที่ถนนศรีนครินทร์เพราะมีลูกค้าจากทางฝั่งตะวันออกมาเยอะ เลยเปิดเพื่อรองรับ

หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มกระโดดเข้าช่องทางออนไลน์ด้วยเหตุผลที่ว่า “ไม่ได้น้ำท่วมทุกปี” ทำให้คนไม่ได้มีต้องการซื้อตลอด เลยเริ่มเปิดเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ จากต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มคนจีนด้วย แต่ลูกค้าในกทม.ส่วนใหญ่จะเห็นสินค้าจากออนไลน์แล้วเข้ามาดูของที่ร้านเพราะสินค้าราคาสูง เปิดออนไลน์ได้ 3 เดือนแรก มียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่า

สินค้าของเฮงเฮง หินอ่อนมีราคาตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 300,000 บาท ถ้าเป็นสินค้าเล็กๆ จะสั่งผ่านออนไลน์ แต่ถ้าเป็นสินค้าชิ้นใหญ่จะเข้ามาดูที่หน้าร้าน มียอดขายเฉลี่ย 30,000 บาทต่อบิล ซึ่งเศรษฐกิจก็มีผลอยู่บ้าง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นระดับกลาง และสินค้านี้ไม่ใช่สินค้าจำเป็นที่ต้องซื้อตลอด

แม้ในช่วงหลายปีให้หลังจะเริ่มมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาด และเริ่มตัดราคา แต่วุทธิพัฒน์บอกว่าไม่ลงไปเล่นสงครามราคาด้วย เน้นเพิ่มมูลค่ามากกว่า เช่น จ้างซินแสในการดูดวงเสริมฮวงจุ้ย, ใช้วัสดุที่ดีกว่า, ใช้ไฟ LED, ติดคริสตัล หรือทองแท้ ทำให้สินค้ามีมูลค่าขึ้น เพราะเป็นสินค้าซื้อครั้งเดียว ลูกค้าก็พร้อมจ่าย

ปัจจุบันเฮงเฮง หินอ่อนมีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ รามอินทรา, อยุธยา-บางปะอิน และบางนา ตอนนี้ยอดขายส่วนใหญ่ยังมาจากออฟไลน์ 65% และออนไลน์ 35% พฤติกรรมลูกค้าจะดูสินค้ามาจากออนไลน์แล้วเข้ามาซื้อที่หน้าร้าน ทำให้ช่องทางออนไลน์ยังสำคัญ วุทธิพัฒน์บอกว่า “ถ้าปิดออนไลน์ยอดขายลดลง 10 เท่าแน่”

ร้านพิมพ์ออนดีมานด์ก็ออนไลน์ได้

ถ้าพูดถึงร้านพิมพ์สติ๊กเกอร์ พิมพ์ฉลาก หลายคนคงนึกไม่ออกว่าทำออนไลน์แล้วจะเวิร์กอย่างไร แต่ร้าน “Kprint” สามารถทำได้ เริ่มทำธุรกิจนี้ได้ 7 ปี เป็นร้านพิมพ์สติ๊กเกอร์ ฉลาก หรือนามบัตรแบบออนดีมานด์ รับทำแบบยอดน้อยๆ เหมากับนักศึกษา และธุรกิจ SME มีหน้าร้านอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี

“จิตร์งาม รักษาแก้ว” เจ้าของร้าน Kprint เล่าว่า ด้วยความที่เป็นระบบออนดีมานด์ เลยมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้วบอกต่อกันเยอะ แต่ที่ลงมาทำออนไลน์เกิดจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัวชอบโพสท์เรื่องงานลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อก็เลยชอบและตื่นเต้นกับระบบนี้ มีความสนใจอยากทำแบรนด์บ้าง เลยมองเห็นดอกาสในการเปิดเพจเพื่อหาลูกค้าเพิ่มเติม

“จากตอนแรกที่มีหน้าร้านแค่ที่เพชรบุรี แต่พอเปิดออนไลน์ทำให้ได้ลูกค้าจากกทม.เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายเติบโตขึ้น 2-3 เท่า ผลตอบรับก็ดีเพราะว่ามีลุกค้าต้องการแบบนี้เยอะ มี SME ที่เกิดใหม่เยอะ สินค้าที่เติบโตได้ดีคือสติ๊กเกอร์ฉลากสินค้า ในตอนหลังเลยทำเพจที่โฟกัสแค่สติ๊กเกอร์โดยฉพาะด้วย มีการสื่อสารที่ชัดเจนยิ่งขึ้น”

จิตร์งามบอกว่าได้ทำตลาดในทุกแพลตฟอร์มทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ทวิตเตอร์ แต่สำคัญคือต้องรู้ธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ไอจีเอาไว้ลงภาพสวยๆ ต้องมีเทคนิคในการสื่อสาร และต้องมีการสร้างเอ็นเกจเมนต์กับลูกค้า มีบริการดูแลลูกค้าให้เกิดความเชื่อมั่น แล้วลูกค้าก็จะไปรีวิวบนดลกออนไลน์ มีกดให้ดาว เป็นการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ทำให้เกิดยอดซื้อได้เรื่อยๆ

สุดท้ายแล้วจิตร์งามได้แนะนำกับผู้ประกอบการว่า ตอนนี้การทำโลกออนไลน์ยากขึ้น ลูกค้ามองเห็นน้อย แต่คนที่หยุดดูจริงๆ ก็มี จึงเป็นโอกาสกับคนที่จริงจัง ต้องหาตัวเองให้เจอ แล้วกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง จุดเด่นของ SME คือ มีความยืดหยุ่นการทำธุรกิจ ทำให้ได้ใจลูกค้ามากกว่า เกิดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เกิดโอกาสมหาศาลที่เข้ามาหาบนโลกออฟไลน์ด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา