ในตลาดน้ำอัดลม (รวมน้ำดำและน้ำสี) มูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 5% การแข่งขันหนักหน่วง ตั้งแต่การรักษาตำแหน่งผู้นำของ โค้ก การทวงตำแหน่งของ เป๊ปซี่ การช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดของ เอส และยังมีม้ามืดอย่าง บิ๊ก งานนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
ปกติแล้ว ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลม จะมีการตั้งโรงงานกระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง พอเพียงให้มากที่สุด เพราะช่องทางจำหน่ายคือ หัวใจสำคัญของธุรกิจนี้
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สามารถทดแทนกันได้ทันที ลองนึกว่า ถ้าคุณอยากกิน “โค้ก” ขึ้นมา แต่บังเอิญว่าร้านอาหารมีแต่ เป๊ปซี่ คุณก็สามารถสั่งมาแทนได้ เพราะรสชาติไม่ได้แตกต่างกัน (แม้จะบอกว่า บางแบรนด์ซ่ากว่า บางแบรนด์หวานกว่า)
ดังนั้น ต้องทำให้ทุกร้านค้า ทุกพื้นที่ มีสินค้าของตัวเองอยู่ และเข้าถึงผู้บริโภคได้
พลตรีพัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า พื้นที่ภาคใต้ โค้ก ครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดประมาณ 85% ด้วยการมีโรงงานที่สุราษฎร์ธานี และที่หาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ และได้ลงทุนไปอีก 1,500 ล้านบาทเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 6 เท่าที่โรงงานสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด 5 ปีข้างหน้า
และที่สำคัญคือ รองรับการแข่งขัน เพราะ เอส โคล่า กำลังจะตั้งโรงงานเพื่อเจาะตลาดภาคใต้ ซึ่งยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมาก
ย้อนกลับมาดู เอส โคล่า ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาทองของเครื่องดื่ม เอส สามารถสร้างการเติบโตได้ดี มีส่วนแบ่งตลาด 10% และคาดว่าจะเป็น 11% ในปีนี้ ซึ่งการบุกตลาดภาคใต้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนเช่นเดียวกัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่โค้ก จะต้องเร่งมือเพื่อทั้งขยายธุรกิจและรับมือการแข่งขันในอนาคต
การขยายโรงงานผลิตของโค้ก ไม่ได้ดูเฉพาะน้ำอัดลมเท่านั้น แต่ยังมีไลน์ผลิตของน้ำดื่ม น้ำทิพย์ ไปพร้อมกัน เพราะขณะที่ โค้ก มีส่วนแบ่งตลาดสูงมาก แต่น้ำทิพย์กลับมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 3% โดยมีคู่แข่ง คือ เนสท์เล่, สิงห์ และ คริสตัล โดยมีเป้าหมายว่า ต้องทำส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 10% ภายใน 5 ปีจากนี้
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า หัวใจสำคัญของตลาดเครื่องดื่ม คือ การกระจายสินค้าและช่องทางจำหน่าย โค้ก ที่ครองตลาดน้ำอัดลมภาคใต้นั้น มีสัดส่วน ร้านค้าแบบเดิม (รวมร้านอาหาร ร้านโชว์ห่วย) 50% และ ร้านค้าโมเดิร์นเทรด (ร้านสะดวกซื้อ ห้างฯ รูปแบบต่างๆ) อีก 50% ถือว่าเป็นสมดุลที่ดี และน่าจะรักษาสภาพความสมดุลนี้ไว้
เพราะการเข้าร้านอาหาร ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งอะไร ถ้าร้านมีโค้ก ลูกค้าก็พร้อมจะดื่มโค้ก และเช่นเดียวกับการเข้าร้านสะดวกซื้อ สินค้าที่มีมากกว่า มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะซื้อมากกว่านั่นเอง
Credit Image: Flickr, Coke
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา