ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ข่าวในเรื่องของเศรษฐกิจที่ดังที่สุดในตอนนี้ย่อมไม่พ้นเรื่องของสงครามการค้าของทั้ง 2 ประเทศ ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันอย่างไม่ลดละ ทาง Brand Inside จึงวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกิดเรื่องของสงครามการค้า จุดเริ่มต้นของความคิดนี้ และรวมไปถึงว่าเกมนี้จะจบได้อย่างไร
เข้าใจเรื่องการค้าของทั้ง 2 ประเทศ
ปี 2016 ทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ประมาณ 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าบางอย่างอาจต้องส่งไปส่งกลับ เช่น เครื่องบิน เพราะว่าต้องใช้อะไหล่บางชิ้นที่ผลิตจากจีน แล้วส่งกลับมาประกอบที่สหรัฐ ก่อนที่จะส่งกลับไปขายในจีนอีกรอบ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือที่มี Supply Chain เกี่ยวข้องเยอะมาก
ฉะนั้นความสัมพันธ์ทางการค้าของ 2 ประเทศย่อมขาดกันไม่ได้ และยิ่งถ้านับเรื่องของการลงทุนระหว่างสองประเทศที่เกิดขึ้น (FDI) อีกมหาศาล ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือเกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
We are not in a trade war with China, that war was lost many years ago by the foolish, or incompetent, people who represented the U.S. Now we have a Trade Deficit of $500 Billion a year, with Intellectual Property Theft of another $300 Billion. We cannot let this continue!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) April 4, 2018
ทำไมถึงเกิดเรื่องสงครามการค้าได้
เรื่องนี้ เกิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้าจีน เป็นเรื่องที่กินแหนงแคลงใจทั้งสองมาโดยตลอด ได้แก่ สินค้ากลุ่มไอที ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Hardware และ Software และสินค้าชนิดอื่นๆ ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ ปธน. ทรัมป์ ไม่พอใจอย่างมาก
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ สหรัฐหวั่นนโยบาย Made in China 2025 ซึ่งจีนพยายามที่จะพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูง และรวมไปถึงสินค้าไฮเทคมากขึ้น สินค้าบางส่วนที่มีปัญหาละเมิดฯ ที่กล่าวไปข้างต้นมีความทับซ้อนกับสินค้าที่จีนต้องการผลักดันในนโยบายนี้เช่นกัน
ประเด็นสุดท้ายคือ สหรัฐต้องการที่จะลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีน และรวมไปถึงเรื่องของการว่างงานในสหรัฐ ซึ่งการเพิ่มกำแพงภาษีในมุมมองทรัมป์คือการเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐ
Trump wanted a trade war. This is what one looks like. https://t.co/kkzXRne8Vo pic.twitter.com/r2wXIFgbB6
— Holger Zschaepitz (@Schuldensuehner) April 4, 2018
ยกแรกจากสหรัฐ
สหรัฐเปิดเกมก่อนโดยปธน. ทรัมป์ ได้ลงนามในข้อกฏหมายใหม่ ต่อเนื่องจากการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม ซึ่งคราวนี้คือการขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 1,300 รายการ โดยเน้นไปที่กลุ่มสินค้าที่จีนได้เปรียบทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ทาง สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ เสนอการตั้งข้อจำกัดของการลงทุนจากจีนในสหรัฐอเมริกาด้วย
จีนตอบโต้บ้าง
ทางการจีนได้โต้กลับรัฐบาลสหรัฐ โดยเล็งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 128 รายการ เช่น หมู ผลไม้ รวมไปถึงเศษเหล็กและอลูมิเนียม เพื่อตอบโต้ทางรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งคาดว่ามีมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการตอบโต้กลับครั้งแรกของทางการจีนในเรื่องของการทำสงครามการค้าระหว่างสองประเทศนี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้แถลงว่าจีนจะใช้มาตราการทุกๆ ทาง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
ส่วนมาตรการล่าสุดของจีนคือการเตรียมเก็บภาษีเพิ่มสินค้าบางรายการ เช่น ถั่วเหลือง เครื่องบินที่น้ำหนักน้อยกว่า 45 ตัน วิสกี้ ฯลฯ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ทางเกษตรกรสหรัฐ (ซึ่งส่วนใหญ่เลือกทรัมป์) กลัวมากคือเรื่องของการขึ้นภาษีถั่วเหลือง เพราะจีนถือเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ของสหรัฐ
ซึ่งตอนนี้จีนใช้วิธีถ้าหากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้ามูลค่ารวมเท่าไหร่ จีนก็จะขึ้นมูลค่าเท่ากับทางสหรัฐทำ
ทุกคนเดือดร้อน ไม่ใช่แค่ 2 ประเทศ
บริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Supply Chain จากประเทศจีน อย่าง Apple หรือ Cisco ฯลฯ ได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะว่ามีฐานการผลิตในจีน ส่วนบริษัทในจีนก็เดือดร้อนเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทที่ผลิตสินค้าไอทีสำหรับส่งไปประกอบอีกที เช่น Sunny Optical หรือ AAC ที่มีฐานผลิตในจีนที่ต้องส่งออกไปสหรัฐ
ถ้าหากเรื่องอัตราภาษีที่แต่ละฝ่ายกำหนดมาแล้วทำให้บริษัทเหล่านี้เดือดร้อน การผลักภาระดังกล่าวย่อมตกอยู่กับผู้บริโภค ซึ่งสุดท้ายแล้วสินค้าสำเร็จรูปบางอย่างย่อมมีราคาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าไอที
ยังไม่นับถึงเรื่องความเสียหายจะมากกว่านี้ถ้าหากสงครามลามไปถึงเรื่องอุตสาหกรรมอื่นๆ ความเสียหายจะกว้างและไกลกว่านี้
สุดท้ายต้องมาเจรจาอยู่ดี
สงครามครั้งนี้ท้ายที่สุดแล้วเกมนี้จะต้องจบที่การเจรจาทางการค้าใหม่แน่นอน เพราะว่าถ้าหากทรัมป์ยังประกาศเรื่องเพิ่มอัตราภาษีจากสินค้าจีนไปเรื่อยๆ จีนก็จะตอบโต้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้จีนยังไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงมากเท่าไหร่ เพราะจีนมองว่าถ้าหากจีนเล่นแรงด้วยจะกลายเป็นเกมที่ แพ้-แพ้ ทั้งสองฝ่าย ซึ่งจีนยอมเปิดประตูที่จะเจรจา
สำหรับคนที่สงสัยว่าองค์การการค้าโลก หรือ WTO ทำไมไม่ออกมาทำอะไรสักอย่าง ซึ่งอย่างมากได้แค่ออกมาปรามๆ เพราะว่าต่างฝ่ายนั้นอ้างว่าการตั้งกำแพงภาษีนั้นอยู่ภายใต้กฏหมายในประเทศ
ซึ่งถ้าหากต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษีใส่ซึ่งกันและกัน ย่อมทำให้ประชาชนทั่วโลกได้รับความเดือดร้อนแน่นอน ไม่ใช่แค่ 2 ประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างเดียว
Note: 06/04/2018 ล่าสุดทางทรัมป์ประกาศจะเพิ่มภาษีจากสินค้าจีนมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา