พามาเจาะเบื้องหลังปรากฎการณ์ในวงการทีวีดิจิทัล เมื่อ “ซีรีส์อินเดีย” ได้กระแสความปังอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นหมัดเด็ดในการกู้สถานการณ์ทีวีดิจิทัลในตอนนี้ โกยเรตติ้งชนิดที่ว่าแซงหน้าละครไทย
ปรากฎการณ์ภารตะพันล้าน!
กระแสของซีรีส์อินเดียมีให้เห็นอย่างชัดเจนช่วงปีที่ผ่านมานี้ นำพามาด้วยเรตติ้งที่พุ่งกระฉูด และรายได้เข้าสถานี จนในปีนี้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต่างพร้อมใจกันอัดเงินลงทุนเพื่อให้ได้คอนเทนต์มาเติมช่องอย่างต่อเนื่อง
โดย บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดียย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เป็นผู้นำเข้าลิขสิทธิ์ซีรีส์อินเดียรายใหญ่ในประเทศไทย ได้ป้อนคอนเทนต์ให้กับสถานีจนหมดแม็ค ลูกค้ารายใหญ่ก็คือช่อง 3 มีการเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 14 เรื่อง (มูลค่า 800 ล้านบาท) และช่อง 8 อีก 10 เรื่อง (มูลค่า 500 ล้านบาท) และช่องอื่นๆ ตามมาอีก รวมมูลค่าทั้งหมดกว่าพันล้านบาท
ช่อง 8 เป็นผู้บุกเบิกการนำซีรีส์อินเดียลงจอ และเป็นกระแสรายแรกๆ ทำให้ในตอนนี้เรื่อง “หนุมาน” มีเรตติ้งสูงที่สุดอยู่ที่ 5 กว่าๆ จากนั้นจึงต่อยอดด้วยเรื่องอื่นๆ ตามมา จนตอนนี้ช่อง 8 ได้เคลมตัวเองว่าเป็นผู้นำในคอนเทนต์ซีรีส์อินเดียไปแล้ว
ช่อง 3 เองก็เกิดปัญหาเรื่องเรตติ้งของคอนเทนต์ที่ตกอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงงัดไม้เด็ดด้วย “นาคิน” เอาไปเติมสล็อตในช่วงเย็นที่เคยเป็นซีรีส์จีนอย่างสามก๊ก และบูเช็คเทียน มีเรตติ้งไม่ถึง 1 แต่นาคินสามารถทำให้เรตติงขึ้นไปที่ 3 กว่าได้
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ CEO ของ JKN ได้เล่าว่า
“ซีรีส์อินเดียมากู้สถานการณ์ของทีวีดิจิทัลจริงๆ และเชื่อว่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี ซีรีส์เกาหลียังอยู่มาได้กว่า 15 ปีเลย เชื่อว่าไม่เฟ้อด้วย เพราะยังมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ จัดสรรเวลาได้”
จักรพงษ์เล่าถึงกรณีของช่อง 3 ให้ฟังเพิ่มเติมอีกว่า ตอนนั้นด้วยซีรีส์ตตอนเย็นของช่องอย่างสามก๊ก และบูเช็คเทียนมีเรตติ้งน้อยมาก ไม่ถึง 1 ทางผู้บริหารช่องเลยมาปรึกษา เราเลยลงนาคินไปสามารถทำเรตติ้งมาถึง 3 กว่าได้ในตอนนี้ ทางช่องเร่งเาภาคต่อไปๆ มาเพิ่มเติมด้วย และต่อยอดไปยังอีเวนต์ต่างๆ
กระแสของซีรีส์อินเดียนอกจากจะรับรู้ได้เรื่องเรตติ้งที่สูงขึ้นอย่าเห็นได้ชัด ยังมีกระแสในโซเชียลมีเดียที่มีการพูดถึมากมาย ผลสุดท้ายสามารถสร้างรายได้ให้สถานีมากขึ้น
ปัจจุบันซีรีส์อินเดียที่มีเรตติ้งสูงสุดมี 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ หนุมาน (ช่อง 8) รองลงมาคือนาคิน (ช่อง 3) สีดาราม และพระพุทธเจา จักรพงษ์มองว่าเรื่องวัลลภ มหาราชรักสุดแผ่นดินที่จะฉายทางช่อง 8 จะเป็นเรื่องที่เรตติ้งสูงเรื่องต่อไป
กระบวนการตลาดต้องเข้มข้น
กว่าที่จะสร้างกระแสภารตะพันล้านได้นั้น ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ดดนใจอย่างเดียว แต่ในเรื่องการตลาดต้องเข้าถึงคนดูด้วย จักรพงษ์บอกว่าได้สะสมประสบการณ์ในวงการมาเรื่อยๆ และปล่อยของ ซึ่งทางอินเดียถึงกับเอ่ยปากว่าประเทศไทยมีการตลาดที่ประสบความสำเร็จมาก จนเป็นกรณีศึกษาในการทำตลาดประเทศอื่น
1.เลือกคอนเทนต์ตรงกับจริตคนไทย
ให้ลืมภาพซีรีส์อินเดียในอดีตที่เปิดเพลงวิ่งข้ามเขาเป็นลูกๆ ยุคนี้ได้โปรดักชั่นระดับโลกอย่าง Sony, Fox ทำให้โปรดักชั่นสวยงามมากขึ้น ซึ่งประเภทของซีรีส์อินเดียไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก ออกแนวแม่ผัวลูกสะใภ้ซะเยอะ แต่ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับเทพเจ้าเยอะเช่นกัน
สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มๆ ได้แก่ แนวประวัติศาสตร์ คอสตูม โมเดิร์น แฟนตาซี และแฟมิลี่ดราม่า ทางจักรพงษ์บอกว่าจะดูคาแร็คเตอร์แต่ละช่องว่าเหมาะกับเรื่องไหน และก็เสนอให้ แต่ถ้าเกิดการแย่งกันก็ไม่มีการประมูล จะให้เกียรติช่องที่เลือกก่อนและปิดดีลก่อน เช่น ช่อง 8 มีคาแรคเตอร์ละครแซ่บๆ ก็ต้องแนวแซ่บๆ
2.ใช้กลยุทธ์โลคอล ผนึกซุปตาร์ มาร์เก็ตติ้ง
กว่าจะส่งมอบงานให้กับสถานีได้แต่ละเรื่อง ทาง JKN ได้ลงทุนทำโปรดักชั่นต่างๆ ทั้งการพากษ์ไทยที่มีทีมงานของตัวเอง พากษ์ให้เข้าถึงคนไทยมากที่สุด จักรพงษ์บอกว่า “ทำการ Take out อินเดีย แล้วเอาความเป็นไทยมาแทน อย่างชื่อตัวละครก็เปลี่ยน หรือออกเสียงให้มีความเป็นไทยมากที่สุด ให้คนดูรู้สึก Connect”
รวมถึงเพลงประกอบซีรีส์ก็ลงมือทำเองสำหรับซีรีส์ฟอร์มยักษ์ ให้ทีมแต่งเพลง ทำมิวสิควิดีโอเอง และเลือกนักร้องระดับตัวท็อปของประเทศอย่าง มาช่า วัฒนพานิช, ไก่ อัญชุลีอร, ฟิล์ม บงกช และมาเรียม เกรย์ เป็นต้น เรียกว่าส่งมอบให้สถานีแบบพร้อมดื่ม แต่ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของ JKN
3.จัดอีเวนต์ให้เข้าถึง
นอกจากอีเวนต์เปิดตัวที่เป็นงานใหญ่ของแต่ละช่องแล้ว JKN ต่อยอดในการนำคอนเทนต์มาทำอีเวนต์ มีการพานักแสดงมาโปรโมทตามรายการต่างๆ และในเดือนมีนาคมจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของนาคิน ทำร่วมกับเซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ที่พานักแสดงมา พร้อมกับดาราในประเทศไทย เปิดให้แฟนๆ เขาชมฟรี และหาสปอนเซอร์สนับสนุน จะจัดที่เดอะมอลล์บางกะปิในช่วงปลายเดือน
และช่วงไตรมาสที่ 4 เตียมจัดอีเวนต์ใหญ่ ได้เริ่มพูดคุยกับพันธมิตรช่องต่างๆ ในการจัดงาน India Allstar รวมคอนเทนต์ 20-25 เรื่อง จัดงานที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี
ซึ่งจักรพงษ์บอกว่าการจัดอีเวนต์รูปแบบนี้มีแค่ที่ไทยที่เดียว จนที่อินเดียบอกว่าจะนำไปปรับใช้ที่ประเทศอื่นบ้าง
4.ไม่มีฉายย้อนหลัง ให้คนดูลงแดง!
กฎสำคัญของการซื้อขายคอนเทนต์กับทาง JKN ก็คือ “ห้ามไปฉายออนไลน์” เป็นการซื้อขายเป็นแพตฟอร์มๆ ไป ถ้าซื้อแค่ทีวีดิจิทัล ก็ฉายแค่ที่เดียว นอกจากจะซื้อแพลตฟอร์ม OTT เพิ่มเติมถึงได้ฉายสิทธิ์เพิ่ม
“เราขายยาเสพพติดทางสายตา ทำอย่างไรให้คนดูลงแดงให้ได้ ต้องดูคอนเทนต์สดทางทีวี ไม่มีฉายย้อนหลัง เป็นกฎเหล็กที่ให้กับทางช่องเลย มีแค่องช่อง 3 ที่ขอลงใน YouTube ได้เป็นเวลาแค่ 7 วันเท่านั้น แล้วลบออกจากระบบ”
ปรากฎการณ์ภารตะพันล้านที่เกิดขึ้นนี้ นอกจากทางทีวีดิจิทัลจะได้เรตติ้งไปครอง สปอนเซอร์วิ่งเข้ามากขึ้นแล้ว ทางด้านของ JKN ก็ฟันรายได้เป็นกอบเป็นกำเช่นกัน เตรียมเซ็นสัญญาส่งมอบคอนเทนต์อีกเกือบพันล้านให้กับลูกค้า 7 ราย โดยที่ 50-60% เป็นคอนเทนต์อินเดีย
และเตรียมปรับค่าลิขสิทธิ์ซีรีส์อินเดียขึ้นอีก 50% ด้วยในปีนี้!
สรุป
– ซีรีส์อินเดียยังเป็นกระแสได้อยู่ให้กับสถานีโทรทัศน์ เพราะสร้างความแปลกใหม่ได้ และเข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ต้องจับตาดูต่อว่ากระแสจะยังคงบูมได้อีกมากน้อยแค่ไหน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา