เมื่อตลาดน้ำผลไม้ในประเทศโตไม่ได้ดั่งใจ มาลีกรุ๊ปขอขยับไปบุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ ล่าสุดทุ่ม 330 ล้านบาทซื้อกิจการ บริษัท ลอง ควน เซฟ ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ในเวียดนาม หวังเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเป็น 60% ใน 3 ปี
ประเดิมซื้อกิจการครั้งแรก ลุยต่างประเทศเต็มสูบ
ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในประเทศไทยไม่มีการเติบโตมา 1-2 ปีแล้ว ในปี 2560 มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ติดลบถึง 8% ในเซ็กเมนต์พรีเมียมมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท ติดลบ 7% เช่นกัน
มาลีกรุ๊ปเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดจึงต้องปรับยุทธศาตร์ครั้งใหญ่ โดยที่มีการรีแบรนด์ตั้งแต่ปีก่อนโดยตั้งเป้าว่าจะไม่หยุดแค่ที่ “น้ำผลไม้” แต่จะขยายไปเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อเสริมพอร์ต เสริมรายได้
รวมถึงการขยายไปยังธุรกิจต่างประเทศก็เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะสร้างการเติบโต จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มาลีเข้าซื้อกิจการ บริษัท ลอง ควน เซฟ ฟู้ด จำกัด บริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ในเวียดนามในสัดส่วน 65% หรือมูลค่า 330 ล้านบาท
โอภาส โลพันธ์ศรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า
“การซื้อกิจการลอง ควนฯ ในครั้งนี้ทำให้มาลีเพิ่มขีดจำกัดในการตีตลาดเครื่องดื่มระดับแมสได้ จากเดิมที่ไม่มีในพอร์ท และช่วยเพิ่มในการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในอนาคตมีแผนจะนำสินค้ามาลีเข้าจำหน่ายในเวียดนามด้วย”
5 สิ่งที่มาลีกรุ๊ปจะได้จากการซื้อกิจการลอง ควน เซฟ ฟู้ด
1. แบรนด์ และความน่าเชื่อถือ ลอง ควนฯ ก่อตั้งมา 25 ปี มีสินค้าหลากหลายที่คนเวียดนามรู้จักเป็นอย่างดี มีสินค้าในระดับแมสที่จับกลุ่มคนระดับกลางในราคาไม่แพง มีแผนที่จะนำสินค้าเหล่านี้เข้าไทยด้วย
2. สายการผลิตครบวงจร มีโรงงานที่เมืองโฮจิมินท์มีกำลังการผลิต 300 ล้านลิตร/ปี และผลิตเครื่องดื่มได้หลากหลายทั้งน้ำดื่ม ชาเขียว เครื่องดื่มอัดแก๊ส เจลลี่ในกระป๋อง โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ขวดพลาสติก ถ้วยพลาสติก และขวดแก้ว เมื่อรวมกำลังการผลิตของมาลีกรุ๊ปเอง จะเพิ่มขึ้นเป็น 630 ล้านลิตร/ปี
3. ได้เปรียบเรื่องราคา ลอง ควนฯ สามารถผลิตสินค้ามีคุณภาพดี ในราคาถูก ทำให้เจาะตลาดแมสได้ ควบคุมราคาได้ เพราะราคาเป็นสิ่งสำคัญในการเจาะตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน
4 มีช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมในเวียดนาม มีพันธมิตรแข็งแกร่งกระจายสินค้าเข้าถึงทุกภาค เจาะตลาดเทรดิชั่นนอลเทรดได้ดี
5. ขยายพอร์ตสินค้า และทำตลาดในเวียดนาม ได้รู้อินไซต์คนเวียดนามจากพาร์ทเนอร์ ทำให้มีแผนนำสินค้าของมาลีเข้าไปทำตลาดในเวียดนามในอนาคต หรืออาจจะใช้โรงงานลอง ควนฯ ผลิตสินค้าเลยก็ได้
รายได้ต่างประเทศต้อง 60% ใน 3 ปี
มาลีกรุ๊ปได้เริ่มบุกตลาดต่างประเทศได้กว่า 20 ปีแล้ว เริ่มจากสินค้าผลไม้กระป๋อง มาจนถึงเครื่องดื่ม ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายกว่า 30 ประเทศ
การทำตลาดต่างประเทศมี 3 โมเดลด้วยกัน ได้แก่
1. ส่งออก แล้วให้ดิสทริบิวเตอร์ในแต่ละประเทศจัดจำหน่าย
2. ส่งออก พร้อมกับทำการตลาดด้วยในกลุ่มประเทศสำคัญ ได้แก่ กัมพูชา พม่า ลาว และจีน และ
3. การร่วมทุน เพิ่งเริ่มทำได้ 3 ปี ในประเทศฟิลิปปิส์ ร่วมทุนกับบริษัท มอนเด นิชชิน คอน์ปอเรชั่น จำกัด ทำธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม มีการกระจายสินค้าครอบคลุม 99% ทั่วประเทศ และในประเทศอินโดนีเซียร่วมทุนกับบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย จำกัด ทำธุรกิจเครื่องดื่ม และสินค้า Consumer Care
ยุทธศาสตร์การร่วมทุน และซื้อกิจการที่มาลีกรุ๊ปได้ดำเนินในช่วงหลังเป็นการสร้างเครือข่ายในระดับภูมิภาค เอาจุดแข็งของพันธมิตรมาเสริมกัน มีความเข้าใจในตลาดท้องถิ่น และการกระจายสินค้า รองรับการเติบโตของตลาดประเทศเกิดใหม่ในอาเซียน
ปัจจุบันมาลีกรุ๊ปมีรายได้จากต่างประเทศสัดส่วน 40% และในประเทศ 60% จากรายได้รวม 6,000-7,000 ล้านบาท มีการตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 60% ภายใน 3 ปี ซึ่งปกติรายได้จากต่างประเทศมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ในปีนี้ได้ลอง ควนฯ เข้ามา ทำให้เพิ่มการเติบโตขึ้นไป และสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 45% ได้
สรุป
– ตลาดน้ำผลไม้ที่มาลีเคยแข็งแกร่งกลับไม่มีการเติบโตเท่าที่ควร ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ไปโฟกัสตลาดอื่นมากขึ้น มาลีจึงเน้นทั้งเครื่องดื่มอื่นๆ และตลาดต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง
– มีโอกาสที่มาลีจะนำสินค้าของลอง ควนฯ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย กำลังศึกษาตลาดว่าจะนำตัวไหนเข้ามา เพราะจะทำให้มาลีมีสินค้าจับกลุ่มแมสได้เสียที
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา