แม้สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society เริ่มเกิดขึ้นในหลายประเทศ แต่ที่ญี่ปุ่นยังค่อนข้างล้าหลัง บริษัทบัตรเครดิตท้องถิ่น JCB จึงอยากยกระดับเรื่องนี้ ด้วยการใช้ “ฝ่ามือ” ที่ไม่ต้องหยิบ Smartphone จากกระเป๋าเลย
ยกระดับการจับจ่ายด้วย Empty-Hand Payment
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คนญี่ปุ่นยังนิยมการใช้เงินสดเพื่อจับจ่ายใช้สอย ทำให้ความเป็น Cashless Society จึงตามหลังประเทศอื่นๆ อยู่พอสมควร ดังนั้นถ้าอยากก้าวข้ามไปถึงจุดนั้นเร็วๆ จึงต้องทำอะไรให้มากกว่าแค่การรับชำระด้วยบัตร, QR Code หรือการยืนยันผ่าน Smartphone เหมือนกับ Apple Pay และ Samsung Pay
ทำให้บริษัทเครดิตการ์ดจากญี่ปุ่นอย่าง JCB จึงร่วมกับบริษัท Universal Robots เพื่อพัฒนานวัตกรรมชำระเงินด้วยฝ่ามือ หรือ Palm-Based เพราะต้องการให้เกิดการชำระแบบไม่ต้องถืออะไรไว้ในมือ หรือ Emthy-Hand Payment เหมือนเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว ที่สำคัญการใช้ฝ่ามือยังสื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายอีกด้วย
สำหรับการใช้งานนั้นเริ่มต้นเพียงผู้บริโภคถ่ายภาพฝ่ามือจาก Smartphone เพื่อส่งเข้าไปเก็บในระบบ ส่วนจะชำระเงินก็เพียงนำฝ่ามือไปให้ร้านค้าที่ลงทะเบียนรับชำระด้วยวิธีนี้ทำการนำ Smartphone ที่มี Application พิเศษ เพื่อทำการสแกนฝ่ามือผ่านกล้อง ซึ่งจะมีความผิดพลาดเพียง 1 ในแสนล้านครั้งเท่านั้น
เนื่องจากตัวระบบจะทำการตรวจสอบลักษณะของฝ่ามือ รวมถึงเส้นเลือดใต้ผิวหนังว่าตรงกับที่ลงทะเบียนไว้หรือไม่ หากถูกต้องระบบก็จะอนุมัติทันที โดย JCB จะทำการทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าวในเดือนก.พ. นี้ เพื่อแก้ไขบางจุดบกพร่อง เช่นการตรวจสอบที่ล่าช้า ทำให้การใช้งานในโลกความเป็นจริงยังไม่สะดวกดังที่หวัง
ที่สำคัญจุดดีของการชำระด้วยฝ่ามือ คือทางผู้ค้าไม่ต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนกับการรับชำระวิธีอื่น ที่ต้องมีเครื่องรับบัตรเครดิต หรือการพิมพ์ QR Code ขึ้นมาอีกด้วย และก่อนหน้านี้ทาง JCB ก็เคยพัฒนาการชำระด้วยฝ่ามือมาแล้ว แต่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ซึ่งมองว่าอาจไม่ตอบโจทย์กับการใช้งานจริงเท่าไรนัก
สรุป
การก้าวไปเรื่อง Cashless Society นั้น ต้องอาศัยความเข้าใจของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ และยิ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก ทำให้การจะไปสอนเรื่องใหม่ๆ ให้เข้าใจก็ค่อนข้างท้าทาย และการใช้เพียงมือเปล่าเพื่อชำระเงิน ก็น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ดังนั้นในอนาคตเราอาจเห็นวิธีนี้แพร่หลายก็ได้
อ้างอิง // Nikkei Asian Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา