12 ปีในตลาดเคสมือถือ 425Degree ทำอย่างไรถึงรอดได้ โดยไม่ลงสงครามราคา

“425Degree ไม่ได้ขายเคสมือถือ แต่ขายความเข้าใจลูกค้า” 

ประโยคนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่คือภาพรวมที่ ‘วิธวินท์ เลิศสาโรจน์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง 425Degree เล่าให้ฟังในงาน ‘Scale Fast Summit & Expo 2025’ ถึงเส้นทางกว่า 12 ปีของแบรนด์ที่เริ่มต้นจากร้านขายเคสออนไลน์เล็กๆ ในปี 2555 ปีเดียวกับที่ ‘Lazada’ เปิดตัว 

แถมต้องเข้าสู่สงครามราคาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีคอมเมิร์ซ เมื่อหมวด ‘เคสมือถือ’ เป็นหนึ่งในหมวดที่แข่งหนักที่สุด สินค้าขายกันตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักบาท บางช่วงมีราคาศูนย์บาท และยังขายได้เป็นหมื่นชิ้น 

แต่ ‘วิธวินท์’ ยอมรับตรงไปตรงมาว่า 425Degree ไม่สามารถชนะคู่แข่งด้วยราคาได้เลย เพราะแพลตฟอร์มใหญ่มีต้นทุน มีสเกล และมีแรงจูงใจด้านอื่นที่ร้านเล็กอย่างเขาไม่มีทางแข่งได้

คำถามคือ 425Degree ทำอย่างไรถึงสามารถขยายธุรกิจจนรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี Brand Inside สรุปไว้แล้วในบทความนี้

ต้องรู้จักลูกค้าให้ดี

เมื่อหนีราคาไม่ได้ สิ่งที่ 425Degree เลือกคือการลงลึกด้านอินไซต์ของลูกค้าให้มากที่สุด จนสามารถสร้างมูลค่าที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้

“ลูกค้าของเราคือคนรักแกดเจ็ต เขาอยากได้ของที่ดีจริง ใช้งานได้จริง และทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น” 

‘วิธวินท์’ อธิบายว่า จุดยืนของร้านไม่ใช่มาร์เก็ตเพลส ไม่ใช่แบรนด์ผู้ผลิต แต่เป็น specialty store ที่ทำหน้าที่คัดสินค้าจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีและทั่วโลกมารวมไว้ในที่เดียว พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ทั้งการตลาด ทีมขาย หน้าร้าน โกดัง การจัดส่ง ไปจนถึงบริการหลังการขาย

ข้อมูลที่หลายคนไม่เคยรู้คือ 425Degree มีทราฟฟิกเว็บไซต์ระดับต้นๆ ของประเทศในหมวดแกดเจ็ต มียอดเพจวิวย้อนหลังปีหนึ่งแตะเฉลี่ย 38.64 ล้านครั้ง และมีฐานผู้ติดตามบนโซเชียล

เช่น Facebook ที่มีมากกว่า 2.2 ล้านไลค์ รวมถึง Instagram, YouTube, TikTok, LINE, และอีเมล ซึ่งใช้ในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ขับเคลื่อนทั้งหมดไม่ใช่การยิงแอด แต่คือคอนเทนต์ที่ตั้งใจแก้ปัญหาจริงให้คนซื้อ

ออกแบบระบบหลังบ้าน เพื่อให้สินค้าออกมามีคุณภาพสูงสุด

หนึ่งในระบบที่กลายเป็นลายเซ็นของร้านคือ ‘Level 1-3’ สำหรับบอกระดับกันกระแทกของเคส ซึ่งทีมคิดขึ้นจากปัญหาที่ผู้บริโภคเจอมานาน ในตลาดเต็มไปด้วยคำโฆษณาอย่างกันกระแทก 3 เมตร 5 เมตร 10 เมตร บางอันจริง บางอันโม้ ลูกค้าสับสนจนเลือกไม่ได้

425Degree เลยออกแบบระบบที่อธิบายง่าย ลูกค้าดูแล้วเข้าใจทันทีว่าต้องซื้อเลเวลไหน แถมยังมีแบรนด์ในตลาดนำไปใช้ตามอย่างไม่เป็นทางการด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ของร้านยังเป็นฐานข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเรื่องความเข้ากันของเคสและฟิล์ม ถึงขนาดที่เจ้าของแบรนด์เองต้องเข้ามาเช็กว่า เคสนี้ใส่กับฟิล์มนี้ได้จริงหรือไม่ เพราะไม่มีร้านไหนทดสอบแบบนี้ให้

‘วิธวินท์’ อธิบายว่าเบื้องหลังข้อมูลทั้งหมด มาจากการทดสอบจริงของทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นการดรอปลูกเหล็ก การใช้โมส์สเกลขูดฟิล์ม หรือการใช้เครื่องเจาะวิทยาศาสตร์ตรวจสอบความแข็งและโครงสร้างของฟิล์ม เพื่อหาค่าเฉลี่ยที่เชื่อถือได้

เช่น การทดสอบฟิล์มสำหรับ ‘iPhone 17’ ที่ทีมทำไปกว่า 20 แบรนด์ ใช้เวลาเกือบสามวันเต็ม จนได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำพอจะบอกลูกค้าได้อย่างมั่นใจ

“เราไม่ได้ได้เงินจากการทำแบบนี้เลย แต่เราได้ความเชื่อใจลูกค้า ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินหลายเท่า”

วิธีคิดแบบนี้สะท้อนผ่านคอนเทนต์ของร้านด้วย ทีมเคยซื้อ iPhone หลายสิบเครื่องมาทดลองจริง หรือถ่ายคลิปโยน iPhone ลงจากที่สูงเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพเคส

“หลายคนตกใจว่าทำไมเอา iPhone มาโยนเล่น แต่จริงๆ มันคือคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ที่สุด เพราะมันตอบคำถามว่า เคสราคา 2,000-3,000 บาท กันได้ดีแค่ไหน”

ขยายอาณาจักร จากออนไลน์ สู่หน้าร้าน

เมื่อธุรกิจออนไลน์เติบโตจนถึงจุดหนึ่ง 425Degree เริ่มขยายไปสู่หน้าร้านจริง และนี่คืออีกมิติที่ร้านเลือกจะเข้าใจลูกค้า มากกว่าทำตามสูตรร้านแกดเจ็ตทั่วไป

‘วิธวินท์’ เล่าว่า หน้าร้านของ 425Degree ไม่ได้สวยที่สุด แต่สนุกที่สุด โดยเฉพาะ ‘สาขาเซ็นทรัลเวิลด์’ ที่เขาบอกว่า “รกที่สุดในห้าง” เพราะร้านถอดกล่องสินค้าออกเกือบทั้งหมด ให้ลูกค้าหยิบเคสจริงมาลองได้ทันที ไม่ต้องกลัวทำแพ็กเกจจิ้งเสียหาย แบรนด์หลายรายถึงกับงงเพราะลงทุนกับกล่องแพงมาก แต่ร้านกลับถอดทิ้ง

“เราทำแบบนี้เพราะอยากให้ลูกค้าลองของจริงง่ายที่สุด ถึงจะกระทบกำไรบ้าง แต่เราได้ใจเขาเต็มๆ”

ด้านบริการหลังบ้าน 425Degree ยังเป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ทำบริการส่งด่วน 3 ชั่วโมง ซึ่งเริ่มจากอินไซต์ง่ายๆ ว่า คนซื้อ iPhone ใหม่ กลัวทำเครื่องตกมากที่สุดในวันแรก จึงมีบริการส่งเคสถึงบ้านภายในสามชั่วโมง แม้ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ลูกค้าจำนวนมากยอม เพราะมันคือความสบายใจ

“เราทำบริการทั้งหมดเพื่อเติมเต็ม customer journey ของเขาให้สมบูรณ์ขึ้น ไม่ใช่เพื่อแข่งราคา”

ทั้งหมดนี้ ทำให้ร้านถึงอยู่รอดในยุคที่มาร์เก็ตเพลสครองเมือง และผู้ประกอบการจำนวนมากเผชิญแรงกดดันด้านราคา ‘วิธวินท์’ ยอมรับว่าร้านตัวเอง “แพง” เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตเพลส แต่เป็นความแพงที่ลูกค้ายอมรับได้ เพราะแลกกับข้อมูลจริง การทดสอบจริง บริการจริง และความซื่อสัตย์ที่ร้านให้มาตลอด 12 ปี

ผลประกอบการของ ‘บริษัท 425ดีกรี จำกัด’ ก็สะท้อนว่าแนวทางนี้ได้ผลจริง

  • ปี 2567 รายได้ 609.77 ล้านบาท กำไร 15.22 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 501.62 ล้านบาท กำไร 16.76 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 400.53 ล้านบาท กำไร 19.45 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 322.08 ล้านบาท กำไร 17.93 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 195.08 ล้านบาท กำไร 0.21 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้ 169.11 ล้านบาท กำไร 2.47 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 114.03 ล้านบาท กำไร 0.61 ล้านบาท

425Degree คือหลักฐานว่า หากธุรกิจจากมูลค่า และแก้ pain point ของลูกค้าได้จริง ต่อให้เป็นตลาดที่แดงเดือดที่สุด แบรนด์ก็ยังเติบโตได้

ที่มา: Scale Fast Summit & Expo 2025

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา