Mintel ชี้ ผู้บริโภคปี 2030 ไม่เหมือนเดิม คนต้องการความอบอุ่น เบื่ออัลกอริทึม และนิยามความหนุ่มสาวใหม่

โลกวันนี้ไม่ได้แค่เปลี่ยนเร็วขึ้น แต่ซับซ้อนขึ้นในทุกทิศทาง ทั้งเศรษฐกิจที่ผันผวน การเมืองโลกที่ตึงเครียด และเทคโนโลยีที่เข้ามาแทบไม่ให้ตั้งตัว โดยเฉพาะ AI ที่เริ่มมีบทบาทกับงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้ชีวิตของเรา 

รายงานล่าสุดของ ‘Mintel’ เอเจนซี่วิจัยและข้อมูลข่าวกรองตลาดระดับโลก จับสัญญาณว่า ภายในปี 2030 ผู้บริโภคจะขยับไปทิศทางไหน และโลกแบบใดที่แบรนด์ต้องเตรียมตัวรับในทศวรรษหน้า

Mintel มองว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้บริโภคยังอยากมีส่วนร่วม อยากควบคุมชีวิตมากขึ้น ไม่อยากถูกแบ่งช่วงวัยมาจำกัดความเป็นไปได้ และโหยหาความเชื่อมต่อทางอารมณ์ในวันที่หลายอย่างถูกทำให้เป็นอัตโนมัติ

3 เทรนด์สำคัญที่ต้องจับตา ได้แก่ Anti-Algorithm, The New Young, และ The Affection Deficit

1. Anti-Algorithm เมื่อความสะดวกเริ่มน่ารำคาญ

‘อัลกอริทึม’ เคยเป็นผู้ช่วยเงียบๆ ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ตอนนี้มันเริ่มกลายเป็นพลังที่กำหนดทั้งสิ่งที่เห็น อัตลักษณ์ และตัวเลือกในชีวิตประจำวัน

แม้ว่าการแนะนำคอนเทนต์ หรือสินค้าเฉพาะบุคคลจะช่วยให้ทุกอย่างตรงใจขึ้น แต่ความโปร่งใสที่ต่ำก็ทำให้ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามว่า “เราควบคุมชีวิตตัวเองอยู่” หรือ “ถูกระบบนำทางแบบไม่รู้ตัว”

Mintel ระบุว่า ภายในปี 2030 ผู้บริโภคจะต้องการควบคุมตัวตนดิจิทัลมากขึ้น อยากเข้าใจว่า อัลกอริทึมทำงานอย่างไร ปรับได้หรือไม่ หรือแม้แต่ร่วมออกแบบให้ตอบโจทย์ความรู้สึกมนุษย์มากกว่าแค่ตัวเลขในระบบ

เส้นแบ่งระหว่างการถูกระบบพาไป กับความสุขจากการค้นพบแบบสุ่มจะชัดขึ้น ผู้บริโภคอยากรู้สึกว่า ตัวเองเป็น ‘ผู้ขับเคลื่อน’ ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ถูกจัดกลุ่ม’ แบรนด์ที่พึ่งพาแต่ ‘กระแส’ หรือ ‘ไวรัล’ อาจเสียโอกาสสร้างความผูกพันระยะยาว

เทรนด์นี้เริ่มเห็นแล้ว เช่น Friends tab ของ Reels ที่ดึงคอนเทนต์จากเพื่อนเพื่อลดความโดดเดี่ยว และฟีเจอร์เลือกมุมมองข่าวด้วยตัวเองใน Google ซึ่งสะท้อนความต้องการควบคุมข้อมูล

สุดท้าย ความเชื่อใจระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘ระบบ’ จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่รู้สึก ‘ถูกต้อง’ มากกว่า ‘ความเร็ว’ ในการทำงาน

2. The New Young ช่วงกลางชีวิตคือสนามทดลองบทใหม่

เมื่อคนอายุยืนขึ้น เส้นแบ่งช่วงชีวิตแบบเดิมก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และภายในปี 2030 โครงสร้างสังคมจะผลักให้หลายเรื่องต้องคิดใหม่ตั้งแต่งาน การศึกษา สุขภาพ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ ที่ต้องรองรับ ‘พลังชีวิต’ มากกว่า ‘อายุ’

ผู้คนจะใช้เวลาอยู่ในช่วงกลางชีวิตนานขึ้น และมีทั้งพลังงาน รวมถึงศักยภาพในการใช้เงิน เพื่อสร้างตัวตน ประสบการณ์ และความทรงจำใหม่ๆ แบรนด์ที่ยังผูก ‘ความสุข’ กับวัยหนุ่มสาวอาจพลาดตลาดใหญ่ที่กำลังเติบโต

สัญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ‘micro-retirement’ การพักสั้นๆ หลายครั้ง การท่องเที่ยวยกครอบครัว การกลับมาเริ่มงานอดิเรก หรือการลงทุนด้านสุขภาพเชิงป้องกัน ล้วนสะท้อนว่า ผู้คนกำลังถามกับตัวเองว่า “อะไรคือชีวิตที่คุ้มค่าที่สุดตอนนี้”

ในโลกการทำงาน กลุ่มอายุ 30-60 ปี จะเป็นกลุ่มที่เริ่มต้นใหม่บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะย้ายประเทศ เปลี่ยนงาน เริ่มออกเดท หรือกลับมาเรียนทักษะใหม่

Mintel บอกว่า แบรนด์ที่ช่วยซัพพอร์ทการเริ่มบทใหม่ของชีวิต ตั้งแต่แพลตฟอร์มพัฒนาทักษะ ไปจนถึงบริการสุขภาพแบบปรับตามจังหวะชีวิต จะมีโอกาสเติบโตสูง ตัวอย่างในไทย เช่น ‘โลตัส’ และ ‘แม็คโคร’ ที่เตรียมจ้างพนักงานอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 400,000 คนภายในปี 2030

และเมื่อการเกษียณถูกเลื่อนออกไป ผู้บริโภคสูงวัยจะให้ความสำคัญกับสุขภาพ การพักผ่อน และกิจกรรมหลายช่วงวัยมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องออกแบบบริการ โดยยึด ‘พลังชีวิต’ เป็นหลัก ไม่ใช่ตัวเลขอายุ

3. The Affection Deficit  ความรักหายากขึ้น และแบรนด์ต้องช่วยเติมเต็ม

แม้ ‘โลกออนไลน์’ จะเป็นพื้นที่หลักของการใช้ชีวิต แต่กลับทำให้ความผูกพันลดลง ความสัมพันธ์ถูกวัดด้วยความเร็ว และความสะดวกมากกว่าความลึกซึ้ง ภายในปี 2030 ช่องว่างระหว่าง ‘ถูกเห็น’ กับ ‘ถูกเข้าใจ’ อาจยิ่งกว้างกว่าเดิม

ความสัมพันธ์เล็กๆ ที่เคยเชื่อมคนเข้าหากัน เช่น รอยยิ้มเบาๆ การทักกับคนแปลกหน้า หรือข้อความพิมพ์ผิดที่เคยสร้างความรู้สึกร่วม อาจถูกลดบทบาทลงเพราะระบบอัตโนมัติ

เมื่อแชทบอท AI และแครักเตอร์จำลองถูกใช้งานมากขึ้น ผู้บริโภคจะชินกับความสัมพันธ์แบบปลอดภัย ไม่ซับซ้อน แต่สิ่งนี้ก็ตัดทิ้งความเป๋ ความผิดพลาด และความเงอะงะเล็กๆ ที่เป็นตัวเชื่อมความผูกพันของมนุษย์

แบรนด์ที่ออกแบบประสบการณ์เนียนกริบไร้รอยต่อ อาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกันลึก Mintel มองว่า ผู้คนจะเริ่มมองหาความรักรูปแบบใหม่ ทั้งเพื่อน ชุมชน สัตว์เลี้ยง หรือธรรมชาติ เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนความรู้สึกจริงได้มากกว่า

ดังนั้น พื้นที่พบกันจริง และกิจกรรมคอมมูนิตี้จะกลับมามีความหมาย ขณะที่บริการที่ตัดมนุษย์ออกไปทั้งหมด อาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกโดดเดี่ยวโดยไม่รู้ตัว

สรุป: คนต้องการความสะดวก และความเป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกัน

แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้บริโภคกำลังมองหาบาลานซ์ระหว่าง ‘ความสะดวกจากระบบอัตโนมัติ’ และ ‘ความเป็นมนุษย์ในทุกช่วงชีวิต’ เทรนด์ที่ Mintel ระบุจึงไม่ใช่แค่ภาพอนาคต แต่คือสัญญาณว่า สังคมกำลังพยายามรักษาเอกลักษณ์ ความเชื่อใจ และความสัมพันธ์ที่มีความหมายในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

แบรนด์ที่มองเห็นสัญญาณเหล่านี้ และออกแบบประสบการณ์ให้สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้คน จะเป็นผู้ที่สร้างความผูกพัน และความภักดีได้มากขึ้นในทศวรรษหน้า

ที่มา: Mintel

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา