ปีนี้ ธุรกิจร้านอาหารย่ำแย่ แต่ทำไมร้านบน Hungry Hub รวมแล้วยอดพุ่งทะลุพันล้านบาท?

ท่ามกลางสถานการณ์ร้านอาหารที่ใครๆ ก็รู้ว่าซบเซา ปีหน้าธุรกิจนี้ยังมีหวังอยู่ไหม?

Hungry Hub

‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub แพลตฟอร์มจองร้านอาหารและโรงแรมอันดับ 1 ของไทย เผยว่า ปี 2025 ตลาดธุรกิจอาหารค่อนข้างแย่ โดยยอดขายเฉลี่ยในสาขาเดียวกันของแต่ละร้านลดลงราวๆ 15-20% ซึ่งถือเป็นอัตราที่มากกว่าปกติ

‘สุรสิทธิ์’ เสริมว่า ธุรกิจอาหารที่เติบโตในปีนี้คือธุรกิจที่เคยพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติหนักๆ ในช่วงครึ่งปีแรก เช่น ห้องอาหารในโรงแรม หรือร้านอาหารที่เน้นขายประสบการณ์ แต่เจอวิกฤตมากมาย จนสามารถปรับตัว ด้วยการดึงลูกค้าคนไทยเข้ามาช่วยได้ในครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน ภาคส่วนที่เติบโตน้อยลง กลับเป็นกลุ่มร้านอาหารครอบครัว เช่น ปิ้งย่าง เทปปันยากิ และร้านอาหารจีน แถมยังบอกอีกว่า หลายร้านที่เล่นโปรโมชันเยอะ ก็อาจโดนกระทบหนักหน่อย

สำหรับสถานการณ์ปี 2026 สุรสิทธิ์เชื่อว่า ธุรกิจต่างๆ คงไม่คาดหวังว่าจะดีขึ้นแล้ว โดยร้านที่ยังอยู่รอด ก็ต้องปรับตัวให้ได้ และสงครามส่วนลดอาจเห็นผลแค่ในระยะสั้นเท่านั้น

สุรสิทธิ์ยังมองว่า โครงการจากภาครัฐเป็นเพียงการโยกเงินไปช่วยเหลือกิจการร้านอาหารแค่ระยะเดียวเท่านั้น แล้วช่วงถัดไปก็จะแย่เหมือนเดิม แถมทำให้ธุรกิจคาดการณ์สถานการณ์ได้ยากขึ้นด้วย

Hungry Hub ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม ก็มีทั้งร้านอาหารที่แข็งแกร่งขึ้นและถอยห่างจากกันไปเช่นกัน โดยสุรสิทธิ์เผยว่ามีถึง 400 ร้านค้าบนแพลตฟอร์มที่เติบโตตั้งแต่ 20% ถึง 2,000% เมื่อเทียบกับ 2024

ร้านอาหารเหล่านี้เติบโตท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างไร? มาดูกัน

เกิดจากปัญหาที่ว่า โครงสร้างร้านอาหารในไทยไม่ได้ถูกคิดมาเพื่อคนไทย

Hungry Hub

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Hungry Hub คือแพลตฟอร์มจองร้านอาหารและโรงแรมที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 แล้วพัฒนามาเรื่อยๆ จนมีรายได้ถึง 90 ล้านบาทในปี 2024 พร้อมพาร์ทเนอร์ชื่อดังมากมายบนแพลตฟอร์ม เช่น Copper Beyond Buffet, NAMA Japanese & Seafood Buffet, Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit หรือ Jim Thompson 

เดิมที Hungry Hub เป็นเพียงระบบจองโต๊ะที่คิดค่าบริการรายเดือนและเกือบเจ๊ง แต่ก็เจอจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อสุรสิทธิ์พาทีมไปทานอาหาร แล้วเจอปัญหาของการ ‘คุมงบ’

สุรสิทธิ์เล่าว่า ไทยเป็นประเทศที่ทานอาหารแบบแชร์กัน ทำให้หลายๆ ครั้งการทานอาหารจึงเกินกว่างบที่ตั้งไว้ ต่างจากฝั่งตะวันตกที่ทานจานใครจานมัน และจ่ายของใครของมัน 

จากปัญหานี้ สุรสิทธิ์มองว่า โครงสร้างราคาของร้านอาหารหลายๆ เจ้าในไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้ากับพฤติกรรมคนไทยเลย ส่งผลให้ในปี 2017 เขาจึงร่วมมือกับร้านอาหารต่างๆ ในการเปลี่ยนโมเดลการขายแบบ ‘อะลาคาร์ต’ มาเป็น ‘บุฟเฟต์’ หวังช่วยให้ผู้บริโภคไทยวางแผนการทานง่ายขึ้น

ณ ตอนนั้น Hungry Hub เป็นเจ้าเดียวที่สามารถขอความร่วมมือให้ร้านอาหารหลายรายเปิดบริการบุฟเฟต์เพิ่มสำหรับผู้ใช้งานแพลตฟอร์มได้ ซึ่งลูกค้าก็ไม่ต้องเดินไปตักอาหารเอง แต่จะมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ไม่ต่างจากการทานอะลาคาร์ต 

ภายในหนึ่งปีหลังเกิดไอเดียนี้ จากบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย Hungry Hub ก็พลิกมากำไรได้ แถมยังพัฒนาอยู่เรื่อยมา จนปัจจุบัน

  • มีผู้ที่เคยใช้บริการกว่า 5 ล้านราย
  • เพิ่มรายได้ให้ร้านอาหารบนแพลตฟอร์มทะลุ 4 พันล้านบาท
  • มีพาร์ทเนอร์ร้านอาหารและโรงแรมบนแพลตฟอร์มกว่า 2,500 เจ้า
  • มีผู้ใช้งานประจำรายเดือนถึง 1.2 ล้านราย
  • รองรับภาษาและสกุลเงินจากหลากหลายประเทศ
  • มีผู้ใช้งานต่างชาติที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่ให้บริการเข้ามาเยี่ยมชมแพลตฟอร์มเดือนละกว่า 2 แสนคน
  • สามารถปรับแต่งหน้าโฮมเพจและผลการค้นหาไปตามประวัติการใช้งานและความต้องการของคนแต่ละประเทศ

ที่สำคัญ Hungry Hub ยังขยายตัวไปที่สิงคโปร์เมื่อปี 2024 โดยฟีดแบ็กดีมาก และแม้ว่าจะโตไม่เท่าตลาดไทย เนื่องจากมีพาร์ทเนอร์เพียง 250 ราย แต่การเติบโตนั้นพุ่งกระฉูดราวๆ 30-50% ต่อเดือน แถมมีหลายๆ ร้านที่สามารถเพิ่มยอดขายกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือนจากการใช้งานแพลตฟอร์มด้วย

ต้องรู้จักปรับตัว ปรับราคา เข้าร่วมแคมเปญ และลงทุนในสื่อ

Hungry Hub
ภาพจาก Facebook: Hungry Hub

Hungry Hub นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารกับโรงแรมแล้ว องค์กรยังเชื่อในเรื่องของการช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ให้มียอดขายที่เติบโตอย่างยั่งยืนด้วย

“ก่อนหน้านี้ทุกแพลตฟอร์ม เขาเน้นไปทางลูกค้าเป็นหลัก เขาไม่เน้นในการดูแลพาร์ทเนอร์ เขามองว่าถ้าลูกค้าเยอะ เดี๋ยวพาร์ทเนอร์มาเอง แต่ของเรา เราไปโดยที่ทำยังไงให้พาร์ทเนอร์ยั่งยืนได้ก่อน รายได้ต้องยั่งยืนก่อน มายด์เซ็ตของเราคือไปแบบพาร์ทเนอร์ก่อน ถ้าลูกค้าไม่จอง ก็ยังไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้าเราบอกว่าลูกค้าจองเยอะแล้วร้านเจ๊ง เราเสียมากกว่าได้ เพราะว่ามันไม่ระยะยาว เราไม่ได้เล่นเกมแบบระยะสั้น” 

ในปี 2025 Hungry Hub ก็สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านอาหารบนแพลตฟอร์มได้มากถึง 1,100 ล้านบาทเลย ซึ่งสุรสิทธิ์บอกว่า 400 ร้านค้าที่เติบโตบนแพลตฟอร์มนั้น คือร้านที่มีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้

  1. ปรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว ด้วยการเปลี่ยนโพสิชันตนเองและลดราคาลง ส่งผลให้แม้ราคาต่อหัวน้อยลง แต่ยอดขายกลับเพิ่มขึ้น 40% จากปีที่แล้ว
  1. เอาชนะ Low Season ผ่านการเข้าร่วมแคมเปญพิเศษกับทาง Hungry Hub ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้มากถึง 45% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
  1. ลงทุนในสื่อ โดย Hungry Hub มีแพ็กเกจสื่อให้ร้านอาหารเลือกซื้อ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ลูกค้าและร้านอาหาร

Hungry Hub

เท่านั้นไม่พอ ในปี 2025 Hungry Hub ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าและลูกค้า ประกอบด้วย

  1. DIY Set: กำหนดเมนูและราคาตามที่ลูกค้าต้องการ

จากเมื่อก่อนที่ Hungry Hub มีเพียงแพ็กเกจแบบ All You Can Eat กับ Sharing Set Menu ในปีนี้บริษัทจึงเปิดตัว ‘DIY Set’ ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกจำนวน รวมถึงหมวดอาหารที่ต้องการทาน โดยฝั่งร้านอาหารเองก็สามารถตั้ง ‘ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ’ ได้

ฟีเจอร์นี้เกิดจากปัญหาที่ร้านอาหารต้องตั้งราคาแพง เพื่อป้องกันค่าเสียโอกาสเวลาที่ลูกค้ามานั่งนานๆ แต่สั่งเพียงเมนูเล็กๆ น้อยๆ โดยนอกจากช่วยการันตีว่าร้านอาหารจะได้ยอดบิลตามขั้นต่ำที่ตั้งไว้ ฝั่งผู้บริโภคยังสามารถเลือกเมนูในราคาที่ถูกและสมเหตุสมผลกว่าปกติด้วย

  1. Add-on: เพิ่มเมนูพิเศษให้ทุกมื้อปิดจบอย่างสมบูรณ์

‘Add-on’ คือฟีเจอร์ที่ทาง Hungry Hub เปิดตัวไปในปีนี้เช่นกัน โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่จองแพ็กเกจบนแพลตฟอร์ม สามารถเลือกเพิ่ม ‘เมนูพิเศษ’ ของร้านนั้นๆ เช่น ไวน์ ม็อกเทล ค็อกเทล โทมาฮอว์ก หรือกุ้งล็อบสเตอร์ ในราคาที่ถูกกว่าปกติแบบล่วงหน้าได้ เพื่อแก้ปัญหาการมาใช้บริการแล้วรู้สึกยังไม่ใช่มื้อที่สมบูรณ์

สุรสิทธิ์ยังบอกอีกว่า ในอนาคต อาจเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเพิ่มบริการเค้กวันเกิด ดอกไม้ หรือห้องคาราโอเกะได้ด้วย เพื่อเติมเต็มความพิเศษในโอกาสต่างๆ ให้ครบจบในมื้อเดียว

  1. Dynamic Pricing: เมนูเดิม แต่ไม่ขายราคาเดิม เพราะผันไปตามความต้องการได้

ในเมื่อโรงแรมและสายการบินยังสามารถตั้งราคาผกผันตามความต้องการ ทำไมร้านอาหารจะทำบ้างไม่ได้?

นี่คือคำถามที่สุรสิทธิ์สงสัย จนนำไปสู่ฟีเจอร์ ‘Dynamic Pricing’ ซึ่งกำลังจะเปิดตัวภายในสิ้นปี 2025 และให้สิทธิ์ในการตั้งราคากับทางร้านอาหารอย่างเต็มรูปแบบ โดยพวกเขาสามารถตั้งกฎเลยว่า ต้องมียอดขายเท่าไร ถึงปรับราคาเพิ่ม? หรือสำหรับลูกค้ากี่ท่านแรก ถึงได้ราคาพิเศษ?

  1. Analytics and Benchmarking: คู่แข่งเรา ยอดขายเป็นยังไงกันนะ?

เพื่อให้ร้านอาหารสามารถบริหารกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น Hungry Hub จึงเปิดตัวฟีเจอร์ ‘Analytics and Benchmarking’ ไปในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งคือเครื่องมือแสดงผลอัตราการเติบโตของยอดขายและค่าเฉลี่ยต่อหัวของร้านอาหารต่างๆ ที่อยู่ในตลาดเดียว

อย่างไรก็ตาม Hungry Hub จะไม่เปิดเผยชื่อคู่แข่ง และฟีเจอร์นี้ถูกสร้างมาเพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจว่ากลยุทธ์การตั้งราคาของตนเองส่งผลต่อผลประกอบการอย่างไรบ้าง หรือจริงๆ แล้วเป็นปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ 

เดินหน้าขยายต่อไปมาเลเซีย ทดลองตลาด เพื่อเตรียมเป็นแบรนด์ระดับโลกในอนาคต

Hungry Hub

แน่นอนว่า Hungry Hub คงไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะล่าสุดทางบริษัทจะขยายตัวไปยัง ‘กรุงกัวลาลัมเปอร์’ ประเทศมาเลเซียภายในสิ้นปี 2025 ด้วย ซึ่งปัจจุบัน ก็มีพาร์ทเนอร์ร่วมงานประมาณ 50 ร้านค้าแล้ว

สุรสิทธิ์อธิบายว่า สาเหตุที่เลือกขยายตัวไปยังสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ก่อน ก็เพราะต้องการเน้นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ คล้ายๆ กับไทย โดยมองว่า สิงคโปร์คือประเทศที่เทียบกับเมือง Tier 1 อย่าง นิวยอร์กหรือปารีส ขณะที่กัวลาลัมเปอร์จะเป็นเมือง Tier 2 เทียบเท่ากับกรุงเทพมหานครในแง่ของค่าใช้จ่าย

ในปี 2026 สุรสิทธิ์ยังตั้งใจขยาย Hungry Hub ออกไปในอีก 2-3 ประเทศ เพราะเป้าหมายของเขาคือต้องการเป็นแพลตฟอร์มระดับโลก ไม่ใช่แค่ของไทยอย่างเดียว

“เรากำลังตรวจสอบตลาดว่า หลังจากสองประเทศนี้หกเดือน เราจะเปิดอีก 2-3 เมืองในปีหน้า และ 2-3 เมืองนี้จะเป็นเมือง Tier 1 หรือจะเป็น Tier 2 หรือจะเป็นผสมของทั้งสองอัน อยู่ที่ฟีดแบ็กของกัวลาลัมเปอร์ เพราะของสิงคโปร์เราเห็นฟีดแบ็กมาระดับนึงแล้ว ก็ดี ไม่ได้แย่ แต่เราอยากจะรู้ว่า กัวลาลัมเปอร์ เราไปได้เร็วกว่า หรือช้ากว่า หรือเท่ากัน เราจะได้ตัดสินใจได้” สุรสิทธิ์กล่าว

สุดท้ายนี้ ในอนาคต Hungry Hub จะขยายไปประเทศไหนอีกบ้าง คงต้องติดตามต่อไป แต่แบรนด์ก็พิสูจน์แล้วว่า แม้เป็นธุรกิจไทยท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ก็สามารถประสบความสำเร็จ จนขยายตัวไปต่างประเทศได้ หากรู้จักพัฒนา

แล้วบทความหน้า Brand Inside จะพาไปรู้จักแบรนด์ไทยเจ้าไหนอีก? รออ่านได้เลย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา