ไม่ใช่แค่ ‘กิน-อยู่-เที่ยว’ เท่านั้นที่คนไทยประหยัดและระมัดระวังขึ้น เพราะแม้แต่ ‘การรักษาพยาบาล’ หรือ ‘หาหมอ’ เทรนด์ก็สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

จะเข้าโรงบาลก็ยังต้องประหยัด มองหาสิทธิรักษาแทน
‘ปาณิพันธ์ ตันตยาภรณ์’ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการและบริหารธุรกิจ โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน เล่าว่า ตอนนี้เทรนด์การเข้ารักษาในโรงพยาบาลของคนไทยเน้นมุ่งหา ‘3rd Party’ หรือ ‘หาสิทธิรักษา-ประกัน’ ในการรักษาพยาบาลแทน โดยใครมีสิทธิก็เลือกรักษาตามสิทธิ ใครมีประกันก็เลือกรักษาด้วยประกัน ลูกค้ากลุ่ม 3rd Party จึงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของโรงพยาบาล
สาเหตุก็เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดีมากนักจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น อันไหนไม่ต้องจ่ายได้ก็เลือกไม่จ่ายดีกว่า หลายคนรู้สึกว่าเจ็บป่วย แต่ต้นทุนการไปหาหมอก็นับเป็นภาระอย่างหนึ่งเช่นกัน
โรงพยาบาลเอกชนก็ต้องนำเสนอให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายเพิ่มนิดหน่อย แต่สามารถซื้อเวลาชีวิตได้ คุ้มกว่าเสียเวลามากกว่าครึ่งวันสำหรับพบแพทย์ เพราะโรงพยาบาลประกันสังคมเองบางครั้งก็มีคนไข้เยอะ ใช้เวลามาก ถ้าสามารถช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่างของโรงพยาบาลรัฐได้ก็ควรทำ
อย่างโรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน ก็มีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดเป็น ‘ลูกค้าประกัน’ เช่นกันและพยายามทำให้โรงพยาบาลเป็น “prefer hospital for insurance” สามารถมอบความยุติธรรมให้ลูกค้า บริษัทประกัน และโรงพยาบาลได้

เสนอดูแล ‘ต้นทุน’ ให้น้อยที่สุด เป้าหมายต่าง-ต้องจ่ายต่างกัน
โรงพยาบาลจึงพยายามมุ่งเน้นดูแลเรื่อง ‘ต้นทุน’ ให้น้อยที่สุด ให้คนไข้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องปล่อยให้โรครักษายากขึ้น หรืออันตรายขึ้น หรือต้นทุนเพิ่มขึ้น
จึงไม่น่าแปลกที่ โรงพญาบาลพญาไท พหลโยธิน หันมาเลือกใช้กลยุทธ์อย่าง Value Personalized Care เน้นแกนหลักอย่าง Personalized Care ดูแลเฉพาะบุคคลแบบเข้าใจความต้องการและความแตกต่างของผู้ป่วย และ Value หรือการรักษาที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับพญาไทในราคาที่เข้าถึงได้
เพราะคนไข้แต่ละคนมีความต้องการแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ‘การผ่าตัดเปลี่ยนเข่า’ คนไข้แต่ละคนก็มีเป้าหมายต่างกัน บางคนต้องการกลับมาเดินได้ตามปกติ แต่บางคนต้องการกลับไปเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมได้ ซึ่งต้องการการรักษาไปจนถึงการดูแลแตกต่างกัน เมื่อมีเป้าหมายต่างกัน คนไข้ก็สามารถเลือกจ่ายแตกต่างกันได้ด้วย

พร้อมยืนยันว่า มาตรฐานการรักษาเท่าเทียมกัน เพียงแต่คนที่ต้องการใช้ชีวิตเอ็กซ์ตรีมมากๆ ก็สามารถเลือกแอดออนรายการต่างๆ เพิ่มได้ด้วย เหมือนกับการเลือกซื้อตั๋วเครื่องบินที่บางคนไม่ได้อยากได้อาหาร ผ้าห่ม หรือโหลดกระเป๋าเสมอไป แค่ต้องการเดินทางถึงที่หมายปลอดภัยเท่านั้น
ผู้บริหารโรงพยาบาลบอกว่า อยากทำราคาเข้าถึงได้ จับต้องได้ให้คนไข้ ให้คนไข้หลายคนมีโอกาสได้ป้องกันตัว ตรวจเช็กก่อนจะเกิดปัญหา เพราะบางครั้งราคาไกลตัวเป็นสาเหตุให้หลายๆ คนไม่ได้ป้องกัน
โดยมั่นใจว่า ราคาใหม่ที่ทำมาจะทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ และโรงพยาบาลแข่งขันได้อย่างแน่นอน และการเติบโตขึ้นของโรงพยาบาลจะไม่ใช่การโตผ่านราคาค่ารักษาที่แพงขึ้น แต่เป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เยอะขึ้นในปีนี้และปีหน้า

ลูกค้าส่วนใหญ่ ‘วัยทำงาน’ ดูแลแล้วเกือบ 2 พันองค์กร
อีกหนึ่งจุดแข็งของ พญาไท พหลโยธินเอง คืออยู่ในจุดศูนย์กลางของกรุงเทพ เป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น นอกจากประชากรในพื้นที่แล้วก็ยังมีชื่อเสียงในพื้นที่ภาคกลางทั้งหมดด้วย เพราะเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลในเครือ BDMS สามารถประสานและทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพญาไท 1 และพญาไท 2 ได้ ทำให้สามารถร่วมกันดูแลคนไข้ร่วมกันได้
และหลังจากรีแบรนด์ใหม่โรงพยาบาลเองก็ได้เปลี่ยนแปลงหลายอย่างตั้งแต่ปรับปรุงอาคาร โครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ ยกระดับศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และพัฒนาบริการตรวจสุขภาพและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับบุคคลและองค์กร
เมื่อก่อนลูกค้ารู้จักโรงพยาบาลในชื่อ ‘เปาโล สะพานควาย’ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าอายุมาก พอรีแบรนด์เปลี่ยนมาเป็น ‘พญาไท พหลโยธินเอง’ ก็ได้เข้าไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น ทำให้ตอนนี้โรงพยาบาลมีลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานแทน โดยลูกค้าไทยมีสัดส่วนกว่า 94.5% และชาวต่างชาติ 5.5 % ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติตะวันออกกลาง เมียนมา อินเดียน และอเมริกัน
ทำให้ตอนนี้โรงพยาบาลได้ให้บริการด้านดูแลสุขภาพและเวลเนสโปรแกรมกับองค์กร 1,900 องค์กร ครอบคลุมการตรวจสุขภาพประจำปี อาชีวเวชศาสตร์ และเสริมสร้างสุขภาพเชิงป้องกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา