บทสรุปวันสุดท้าย THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 การแก้ปัญหาโจทย์ใหญ่ที่จะพาไทยกลับสู่เรดาร์โลก 

THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย วันสุดท้าย (7 พฤศจิกายน 2568) ปิดท้ายงานด้วยประเด็นใหญ่อย่าง Global Supply Chain ว่าไทยมีส่วนแบ่งทางตัวเลขมากน้อยแค่ไหน และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกอาจทำให้ไทยหลุดจอเรดาร์

แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อกลับสู่สายตาโลกอีกครั้ง รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างนโยบายรัฐที่กำหนดทิศทางการเดินของประเทศ?

ซัพพลายเชนไทยจะยกระดับอย่างไรในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน

เมื่อสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจเดี่ยวอีกต่อไป Jeffrey D. Sachs University Professor and Director of the Center for Sustainable Development, Columbia University แสดงความสนใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เวลานี้ยังไม่มีการเขียนกติกาโลกใหม่อย่างจริง และภูมิภาคอาเซียนอยู่ในจุดกึ่งของสองมหาอำนาจคือสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเราปฏิเสธความใกล้ชิดทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนไม่ได้ บนเวที The Great Rebalancing: Seizing Thailand’s ASEAN Moment พลิกขั้วมหาอำนาจ โอกาสทองของไทยในอาเซียน และขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็พยายามแยกชาติอาเซียนออกจากกัน ซึ่งเขามองว่าอาเซียนต้องเกาะกลุ่มกันให้มั่น 

เมื่ออำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลง ไทยจะเดินต่ออย่างไรโดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ เวที Rewiring the Global Supply Chain ยุทธศาสตร์ใหม่เปลี่ยนเกมห่วงโซ่อุปทานโลก เริ่มต้นด้วย ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มองว่าในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เราสามารถเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนได้ แต่ขณะเดียวกัน พิพิธ เอนกนิธิ ประธานกิจยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทย ชี้ว่าการเข้ามาของจีนถือว่ามาแรงมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย แต่กลับกัน ตลาดโลกเริ่มมองไปยังเวียดนามมากกว่าไทย

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยและสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย มองว่าความผันผวนและเทรนด์เป็นเรื่องปกติ การที่ไทยหายไปจากจอเรดาร์ในบางช่วงเวลา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลไทยที่บริหารประเทศในเวลานั้นๆ รวมถึงมุมมองที่ว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย จำเป็นที่จะต้องมีส่วนช่วยยกระดับซัพพลายเชนในไทย ส่วน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอวิธีการปรับตัวของไทยว่า ตอนนี้มี 5 เมกะเทรนด์ที่ไทยต้องเร่งปรับตัว และต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากชาติมหาอำนาจจีนที่เข้ามา เช่นการเรียนรู้เรื่องอุตสาหกรรมและซัพพลายเชนจากจีน  

เวที Future Supply Chain: Thailand’s Gateway to Next-Gen Industries กลยุทธ์ยกระดับห่วงโซ่อุปทานไทยสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต เริ่มต้นจากการที่ ดร.วีระยุทธ์ กาญจน์ชูฉัตร พรรคประชาชน มองสถานการณ์ปัจจุบันว่าไทยยังไม่สามารถสร้างซัพพลายเชนได้ แม้สัดส่วนการส่งออกของไทยมากถึง 70% ไม่ได้แปลว่าเราส่งออกเก่งกว่า จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แต่สัดส่วนที่เยอะแปลว่าเราพึ่งพาการส่งออกสูงจนเศรษฐกิจภายในของไทยไม่แข็งแรง สิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มความเข้มแข็งจากภายใน ด้วยการลงทุนของภาคเอกชนและรัฐ กระตุ้นการบริโภคในประเทศเพื่อยกระดับการผลิต 

เช่นเดียวกับ ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และเลขาธิการ กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อยากเห็นไทยเข้าสู่ Hitech Ecosystem แต่เรายังอยู่ใน Low tech Ecosystem แล้วเราจะขยับอย่างไร และทำให้เกิดการหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น

นอกจากซัพพลายเชนและกระแสจากภายนอก ธุรกิจไทยก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งเครื่องทางความคิดและการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้การทำงานเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเวที Tech Stage อย่าง Manufacturing Tech: Engineering Thailand’s Competitive Edge อุตสาหกรรมอัจฉริยะ พลิกโรงงานไทยสู่ยุค AI ไม่ตกขบวน ก็ได้ชวนผู้ฟังตกผลึกถึงวิธีที่จะนำ AI มาช่วยในด้านการผลิตและทุ่นแรงของมนุษย์ไปพร้อมกัน

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย มองสถานการณ์ไทยว่าควรจะต้องยกระดับขีดความสามารถคน เพิ่มการศึกษา วิจัย และพัฒนา รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างการสนับสนุนจากรัฐ บนเวที Financing the Future: How Capital Architects Shape New Frontier Industries ปลดล็อกพลังโลกการเงิน สู่พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย เพราะการจะไปให้ถึง New Frontier ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเงิน จะต้องทำงานร่วมกันให้ได้ 

เวที Shaping Thailand’s Next Economic Frontier through Innovation พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยด้วยระบบนวัตกรรมใหม่ กับประเด็นตัวเลข GDP และกับดักรายได้ปานกลาง กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มองว่าวิกฤตและความท้าทายโลกไม่มีทางลัด และใหญ่เกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะแก้ปัญหาได้ สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างเครื่องยนต์ใหม่บนโอกาสที่เรียกว่า ‘นวัตกรรม’ ทางการแพทย์ที่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่คนไทยคิด คนไทยทำ มากกว่าที่คิด  

นโยบายรัฐคือส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจไทย

การปรับตัวให้ทันโลกต้องเริ่มจากภายในประเทศ เวที Bedrock Analytics เปลี่ยนเมืองให้สมาร์ทด้วย City Digital Data Platform และเวที Young Leaders Dialogue Stage Local Power: Turning Small Towns into Big Opportunities คนรุ่นใหม่กลับบ้าน สร้างเมืองรองที่มีศักยภาพ ชวนระดมสมองถึงการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะกับเมืองท้องถิ่น เมืองรอง และบ้านเกิดของผู้คนจำนวนมากที่ต้องเข้ามาทำงานยังเมืองหลวง ว่าถ้าจะทำให้คนรุ่นใหม่กลับไปทำธุรกิจที่บ้าน สิ่งที่พวกเขาต้องการมีอะไร และภาครัฐจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยวิธีใดได้บ้าง

และสิ่งสำคัญที่จะพาไปขยับไปพร้อมกันทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ แรงงาน และภาคการเงิน ก็คือตัวของรัฐ เวที The Trust Blueprint: Designing Integrity for Thailand’s Future พิมพ์เขียวแห่งความเชื่อมั่น ออกแบบอนาคตไทยไร้คอร์รัปชัน คิดหาวิธีการป้องกันการทุจริต ซึ่ง ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และ รศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค (KRAC) มองตรงกันว่า เหตุผลที่ผ่านมาการแก้คอร์รัปชันยังไม่ไปไหน เพราะสังคมเน้นโฟกัสไปยังการวิ่งจับคนโกงเป็นหลัก ซึ่งการแก้แท้จริง จะต้องออกแบบระบบใหม่ที่ทำให้การทุจริตเกิดได้ยากขึ้น ทั้งการมีข้อมูลกลางและเปิดเผยข้อมูลการทำงานของรัฐให้ประชาชนได้เห็นมากขึ้น

THE POWER GAME, The Next Government Formula เสถียรภาพการเมืองไทยในสมการใหม่ ถกเถียงแลกเปลี่ยนในประเด็นใหญ่ทางการเมืองกับตัวแทนสามพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ การยุบสภา การเลือกตั้ง รวมถึงการสร้างความหวังในห้วงเวลาที่ดูจะไร้ซึ่งความหวังต่อตัวนักการเมืองและพรรคการเมือง 

และปิดท้ายงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ด้วย Closing Speech นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด สรุปสถานการณ์จากทั้งภายนอกและในประเทศ สร้างความรู้สึกต่อทุกภาคส่วนว่าคงจะทนต่อไปอีกไม่ได้แล้วกับปัญหาที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ สิ่งนี้เร่งให้ทุกภาคส่วนต้องขยับอย่างจริงจัง สิ่งที่แต่ละคนสะท้อนออกมาสามารถเอาไปดำเนินการต่อในระดับประเทศได้จริง และสุดท้ายแม้จะมีปัญหามากมาย แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีความหวังอยู่ 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา