Garmin ทำยังไง ในวันที่แบรนด์มือถือลงมาเล่นในตลาด Smartwatch กันแทบทุกแบรนด์ แถมผู้บริโภคมองว่า Garmin ‘เฉพาะทาง’ และ ‘แพง’ เกินไป และยังเจอสงครามราคาตีขนาบเข้ามาอีก?

Garmin ยอมรับว่าเรื่องนี้กระทบธุรกิจไม่น้อย แต่ก็ย้ำว่าจะ ‘ไม่ลดราคา’ ลงมาสู้
และจะใช้ไม้เด็ดอื่น คือออกสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมทุกราคา ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นในราคา 5-6 พันบาท ไปจนถึงกลุ่มพรีเมียมที่ยอมจ่าย 3-4 หมื่นบาท
แล้วผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง? เราลองมาดูกัน
เบื้องหลังการเติบโตคือเทรนด์ใหม่ในปัจจุบัน
ทำไม Garmin ถึงเลือกเล่นตลาดเฉพาะทาง คือเลือกเป็น Smartwatch สำหรับคนรักสุขภาพหรือเล่นกีฬาโดยเฉพาะ? ไม่ใช่แก็ดเจ็ตไอทีทั่วไปเหมือนที่แบรนด์อื่นทำ คำตอบคือเทรนด์โลกกำลังมาทางนี้ ตอนนี้คนทั่วไปก็เริ่มสนใจเรื่องสุขภาพ

ข้อมูลจาก Harvard ชี้ชัดว่าพฤติกรรมในการใช้ชีวิตมีผลต่อสุขภาพถึง 75% ในขณะที่พันธุกรรมมีผลเพียง 25% ทำให้ Garmin ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแล จึงสร้างกลยุทธ์นี้สอดรับกับพฤติกรรมผู้ใช้
มิสซี่ ยาง ผู้จัดการประจำ การ์มิน ประเทศไทย อธิบายว่า “Garmin จับเทรนด์ใหญ่ของโลกได้อยู่หมัด นั่นคือเทรนด์ Longevity Lifestyle สุขภาพไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นวิถีชีวิต คนไม่ได้อยากอายุยืนอย่างเดียว แต่อยากมีชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพ”
ข้อมูลจาก Garmin Connect เผยว่าคนไทยมีชีวิตที่ Active มากขึ้นถึง 20% โดยเฉพาะการฝึก Strength Training ที่พุ่ง 40% และ Indoor Cardio ที่โต 15%
Garmin วางตำแหน่งตัวเองผ่าน 3 เสาหลัก คือ
- 1. ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ (Guidance)
- 2. ช่วยฝึกซ้อมกีฬา (Training)
- 3. เพิ่มความปลอดภัย (Safety)
สงครามราคาไม่ใช่ทางออกของ Garmin
Garmin เริ่มต้นจากตลาดเฉพาะกลุ่ม ‘หลายกลุ่ม’ ที่มีฐานที่แข็งแกร่งมาก เช่น กลุ่มนักกีฬา นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือจะเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพที่ต้องการดูข้อมูลสุขภาพ
ด้วยความที่ Garmin มองว่าตัวเองเริ่มต้นจากตลาด Specialty เลยไม่จำเป็นต้องลงมาแข่งเรื่องราคา ประกอบกับที่ช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เทรนด์ดูแลสุขภาพและเทรนด์กีฬาก็เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ Garmin ออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างรุ่น Forerunner 570 และ 970 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นนักวิ่งตัวยง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี
นี่คือหนึ่งตัวอย่างว่า Garmin ทำสินค้าเจาะจงลูกค้ารายกลุ่มอย่างไร
ส่วนตัวอย่างอีกกลุ่มก็คือ Venu 3 และ Venu 4 ซึ่งตอบโจทย์เซกเมนต์เฉพาะคือ ‘กลุ่มคนรักสุขภาพ’ โดยกลุ่มนี้จะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ด้วยฟังก์ชัน Garmin Plus เป็นแอปที่สรุปข้อมูลพร้อมให้คำแนะนำและปรับกิจวัตรการออกกำลังกายให้ดีขึ้น

ผลลัพธ์คือ ในขณะที่ยอดขายทั่วโลกโต 16% เป็น 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Garmin ในไทยกลับโตได้ถึง 35% ในครึ่งปีแรก และยังขยายฐานลูกค้าแมส โดยไม่ทิ้งตัวตนพรีเมียมของตัวเอง เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าการเลือกไม่ลงไปแข่งในสงครามราคาก็ยังสามารถผ่านช่วงเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาได้
ภาพระยะยาวของ Garmin
การเติบโตของ Garmin ไม่ใช่แค่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการขยายขีดความสามารถของผลิตภัณฑ์ในเครือ อย่างล่าสุด Garmin เข้าซื้อกิจการ Mylaps บริษัทชั้นนำด้านการจับเวลาการแข่งขันกีฬา เพื่อดึงข้อมูลเชิงลึกมาให้นักกีฬาและผู้จัดงาน
Garmin กำลังมองเกมที่ใหญ่ขึ้น โดยก้าวไปไกลถึงการร่วมวิจัยกับสถาบันระดับโลกอย่าง King’s College London (ด้านสุขภาพแม่และเด็ก), Harvard และ Oxford (ด้านสุขภาพและความสุข) หรือแม้แต่การติดตามสุขภาพนักบินอวกาศ นี่คือการส่งสัญญาณว่า Garmin กำลังเปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิตอุปกรณ์ ไปสู่บริษัทที่จะนำข้อมูลสุขภาพมาดูแลลูกค้า
ส่วนในประเทศที่ยอดขายโตถึง 35% ในครึ่งปีแรก Garmin เตรียมเปิดโรงงานในจังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการเติบโตและความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ถูกวางตัวให้เป็น “หนึ่งในศูนย์กลางระดับสากล” ในการดำเนินงานของ Garmin ทั่วโลก

โรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 23 ไร่ในชลบุรีนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลิต Smartwatchเพียงอย่างเดียว แม้จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดด้านงบประมาณการลงทุนและกำลังการผลิตที่ชัดเจน แต่ข้อมูลสำคัญที่เปิดเผยในงานคือ โรงงานนี้จะครอบคลุมผลิตภัณฑ์ Garmin ทั้งหมด โดยจะเริ่มต้นเฟสแรกด้วยสายการผลิต Auto OEM (ชิ้นส่วนยานยนต์) ก่อนจะขยายตามความต้องการของตลาดโลก สะท้อนว่านี่คือฐานการผลิตที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ฐานประกอบ
แม้ Garmin จะมีโรงงาน 11 แห่งทั่วโลก (เช่น ในโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน) แต่การปักหมุดที่ชลบุรีครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยมีแผนจะเริ่มเดินสายการผลิตจริงในไตรมาสที่ 4 ของปี 2026 การตัดสินใจเลือกไทยเกิดขึ้นจากทำเลที่สามารถเชื่อมโยงทั้งตลาดเอเชียและตลาดโลกได้ง่าย ซึ่งโรงงานในประเทศไทยถูกวางไว้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกทั่วโลก
ซึ่งทำให้น่าสนใจว่าในปีหน้าที่เพิ่มฐานการผลิตอะไรใหม่ ๆ ออกมาบ้างและไทยจะได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มเติม นอกจากการจะได้รับการวางขายเป็นลำดับเดียวกับยุโรป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา