ในภูมิทัศน์ของธุรกิจบริการสุขภาพที่การแข่งขันไม่ได้วัดกันเพียงเทคโนโลยีทางการแพทย์หรือความเชี่ยวชาญของบุคลากร แต่ยังรวมถึง “ประสบการณ์ของผู้ป่วย” ในทุกมิติ การสื่อสารแบรนด์จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแคมเปญโฆษณาอีกต่อไป แต่ถูกหลอมรวมอยู่ในทุก Touchpoint ที่ลูกค้าและพนักงานมีต่อองค์กร
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้สร้างกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ด้วยการลุกขึ้นมา “ปฏิวัติยูนิฟอร์ม” ครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนดีไซน์ตามวาระครบรอบ 5 ปีตามธรรมเนียม แต่เป็นการใช้ “ยูนิฟอร์ม” เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า บทความนี้จะพาไปถอดรหัสเบื้องหลังวิธีคิดที่ซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผ่านมุมมองของผู้บริหารสองท่าน คือ คุณนภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer และ คุณภัทรพงศ์ กาฬภักดี Chief Administrative Officer of Ancillary Services, Cancer Center, HIM & HR ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผู้ร่วมผลักดันโครงการนี้ให้เป็นจริง

เมื่อโลกเปลี่ยน ยูนิฟอร์มจึงไม่ใช่แค่เครื่องแบบ
โดยปกติแล้ว บำรุงราษฎร์มีการพิจารณาเปลี่ยนยูนิฟอร์มทุก 5 ปี แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีนัยสำคัญมากกว่านั้น คุณนภัส เริ่มต้นด้วยการให้ภาพใหญ่ว่า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความเข้าใจในพลวัตของโลกธุรกิจที่ไม่เคยหยุดนิ่ง “ธุรกิจโรงพยาบาลก็เหมือนธุรกิจทั่วไปที่มี Evolution มีวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” เธอกล่าว “ทัศนคติของผู้ป่วยก็เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา โดยเฉพาะการเข้ามาของการดูแลเชิงป้องกัน (Preventive Care) และ Wellness ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้อยากรู้สึกว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่สำหรับคนเจ็บป่วยที่ได้แต่กลิ่นยาอีกต่อไป”
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บำรุงราษฎร์ต้อง “Revamp” และ “Refresh” ตัวเองในทุกมิติ เพื่อให้สอดรับกับความคาดหวังใหม่ ๆ ยูนิฟอร์มจึงกลายเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญเพื่อสะท้อนการก้าวไปข้างหน้าและการ Embrace การเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การจบลงของวิกฤตโควิด-19 ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้ต้องคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด “มันเป็นจังหวะที่โฉมหน้าทางการแพทย์เปลี่ยนไปเยอะหลังโควิด เราคิดว่ามันน่าจะได้รับการตีความใหม่อีกสักรอบหนึ่ง” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สดใสและเป็นบวก สะท้อนการเกิดใหม่หลังวิกฤตการณ์

Inclusion & Simplicity ออกแบบเพื่อคน Gen ใหม่และวัฒนธรรมที่เท่าเทียม
อีกมิติที่น่าสนใจคือมุมมองด้านทรัพยากรบุคคล คุณภัทรพงศ์ ชี้ว่า พนักงานของบำรุงราษฎร์กว่า 85% เป็นคน Gen Y และ Gen Z “เราจะทำอย่างไรให้ Staff ของเราส่งมอบความปลอดภัยและการรักษาได้อย่างภาคภูมิใจและมั่นใจ” คำตอบคือยูนิฟอร์มที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง
จากในอดีตที่ยูนิฟอร์มพยาบาลแผนกเดียวอาจมีถึง 6-7 แบบ ซึ่งสะท้อนถึงลำดับชั้น (Hierarchy) ที่มากเกินไป ยูนิฟอร์มใหม่จึงถูก “รวบตึง” ให้มีความหลากหลายน้อยที่สุดเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน “ข้อดีคือมันทำให้ไลน์ของยูนิฟอร์มดูแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดูปุ๊บก็รู้ว่านี่คือยูนิฟอร์มของเรา” คุณนภัสกล่าว
“เราพยายามลดเรื่อง Hierarchy ลง และเคารพนับถือทุกตำแหน่งอย่างเท่าเทียม” เธอเสริม พร้อมยกตัวอย่างเรื่องราวของภารโรงที่ NASA ซึ่งถูกถามว่าทำหน้าที่อะไร แล้วเขาตอบว่า ‘หน้าที่ของผมคือการช่วยส่งคนไปดวงจันทร์’ “เราอยากให้พนักงานรู้สึกแบบนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นแม่บ้านหรือผู้ช่วยพยาบาล ทุกคนคือผู้ส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ป่วย”
หลักคิดนี้สะท้อนสู่การออกแบบที่ต้นทุนและคุณภาพของยูนิฟอร์มไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่แปรผันตามฟังก์ชันและกิจกรรมของงานนั้น ๆ “การเลือกใช้วัสดุไม่ได้แปรผันตามตำแหน่ง แต่แปรผันตามกิจกรรมที่เขาต้องทำ อันไหนที่เหมาะกับงานและเสริมให้เขามีความมั่นใจและสะดวกสบาย นั่นคือสิ่งที่เราจะทำ” คุณภัทรพงศ์อธิบาย

Where Function Meets Fashion นวัตกรรมบนเส้นใยและการร่วมมือกับ Designer ชั้นนำ
หัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการผสาน 3 แกนหลักเข้าด้วยกัน: นวัตกรรม, ฟังก์ชัน และแฟชั่น ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ
- นวัตกรรมเนื้อผ้าเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืน
บำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสุขอนามัยสูงสุด โดยเลือกใช้นวัตกรรมผ้าที่ตอบโจทย์ทางการแพทย์โดยตรง
- Hygitex™ by Perma Nano Zinc: นวัตกรรมผ้าที่มีคุณสมบัติ “ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราตลอดอายุการใช้งานและไร้กลิ่นอับ” คุณนภัสอธิบายว่า “เนื้อผ้าเป็น Anti-bacteria เวลาเหงื่อออกก็จะไม่เกิดการหมักหมมของแบคทีเรีย ซึ่งสำคัญมากเรื่อง Safety”
- Syntrel™: ผ้าที่ระบายอากาศได้ดี แห้งเร็ว ไม่ต้องรีด เหมาะกับงานที่ต้องการความคล่องตัวสูง
- Endurance™: เนื้อผ้าทนทาน คงรูปทรง สีไม่ซีดจาง และดูแลง่าย ทำให้พนักงานดูเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ
ในมิติความยั่งยืน คุณภัทรพงศ์ขยายความว่า “ความยั่งยืนไม่ได้มาจากแค่วัตถุดิบ แต่มาจาก Eco-system ทั้งหมด การที่ผ้าซักง่าย แห้งเร็ว ไม่ต้องรีด คือการลดใช้พลังงานและสารเคมี และยังทำให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้นด้วย”

- การออกแบบที่ตอบโจทย์โดยผู้เชี่ยวชาญ
บำรุงราษฎร์เลือกที่จะร่วมมือกับดีไซเนอร์ชั้นนำอย่าง FN จากผู้ที่เข้าร่วม Pitching ทั้งหมด “เราเลือกเจ้าที่เข้าใจและตอบโจทย์ความเป็นบำรุงราษฎร์มากที่สุด” คุณนภัสกล่าว “เหมือนการสร้างบ้านที่ต้องจ้างสถาปนิก ไม่ใช่เอาแบบสำเร็จรูปมาทำ การออกแบบยูนิฟอร์มก็ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ” โจทย์หลักคือต้อง “สวยและ Functional” มีความร่วมสมัย ไม่ใช่ 2 ปีก็เชย
สิ่งที่ทำให้ FN ตอบโจทย์คือการ “คิดนอกกรอบ” โดยเป็นเจ้าเดียวที่มีการนำเทคนิคการทำ “พลีท (Pleat)” เข้ามาใช้ในยูนิฟอร์มโรงพยาบาล ซึ่งช่วยเสริมทั้งความสวยงามและความกระชับในการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเวลาก้มตัวที่พนักงานหญิงเคยให้ฟีดแบ็กว่ากังวลเรื่องความไม่เรียบร้อย นอกจากนี้ FN ยังเป็นผู้เสนอแนวคิดการผสมผสานความเป็นสปอร์ตเข้ามา และนำเสนอวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

-
- สีสันและดีไซน์ เพราะทุกรายละเอียดมีความหมาย
ยูนิฟอร์มใหม่ไม่ได้มีแค่สีขาวอีกต่อไป แต่มีการใช้สีเพื่อสื่อสารและสร้างประโยชน์ในเชิงจิตวิทยา โดยผ่านการทำวิจัยและรับฟังฟีดแบ็กจากทั้งลูกค้าและพนักงาน
-
-
- สีขาว: ยังคงใช้กับพยาบาลกลุ่มใหญ่ที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง เพราะเป็นสียูนิเวอร์แซลที่สร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะกับผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีกำแพงด้านภาษา “โค้ดยังสำคัญ เราเลยยังคงสีขาวไว้” คุณภัทรพงศ์กล่าว
- สีฟ้า: ใช้กับพยาบาลในแผนกผู้ป่วยวิกฤต (Critical Care) เพื่อช่วยลดภาวะ “White-Gown Syndrome” หรืออาการความดันขึ้นเมื่อเจอชุดกาวน์สีขาว
- สีน้ำตาล: สำหรับกลุ่มผู้ช่วยพยาบาลและบุคลากรสนับสนุนทางการพยาบาล
- สีเขียว: ใช้ในกลุ่ม Front Service และ Customer Service ซึ่งคุณภัทรพงศ์อธิบายว่า “เป็นคอนเซ็ปต์เดียวกับโถงของโรงพยาบาลที่เป็นรูปต้นไม้และใบไม้ สื่อถึงการเกิดใหม่และการป้องกัน”
-
นอกจากสีสัน ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังถูกคิดมาอย่างดี เช่น ชุดพยาบาลมีลักษณะคล้ายเอี๊ยมด้านหน้าที่สามารถถอดออกได้เพื่อป้องกันความสกปรก หรือการออกแบบแขนเสื้อที่ต้องพับขึ้นได้สะดวก และชายเสื้อที่ไม่ยาวเกินไปจนสัมผัสตัวผู้ป่วยเวลาก้ม

เบื้องหลังโปรเจกต์ กับการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อความเป็นเลิศ
โครงการนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาในการพัฒนาและวิจัยนานกว่า 1 ปีเต็ม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันเกิดครบรอบ 45 ปี ของโรงพยาบาล 17 กันยายน 2568 ด้วยงบประมาณหลักสิบล้านบาท
คุณภัทรพงศ์เล่าว่า “สิ่งที่ทำให้กระบวนการนานคือช่วงรีเสิร์ชและช่วงทดลอง (Trial) เพราะมันคือ Change Management” ทีมงานต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเปิดรับฟีดแบ็กจากพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแก้ แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีการพูดคุยกับเวนเดอร์เพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ

จากยูนิฟอร์มสู่ภาพใหญ่ของ Longevity และ Medical Hub
การลุกขึ้นมาปฏิวัติยูนิฟอร์มของบำรุงราษฎร์ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกาย แต่คือการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลัง มันคือการนำเอาแนวคิดหลัก ได้แก่ Reinvention, Safety, Agility, Pride, และ Sustainability มาทำให้เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ยูนิฟอร์มใหม่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนคำมั่นสัญญาของบำรุงราษฎร์ในการมอบการดูแลที่เป็นเลิศ และยังเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเป็นผู้นำด้าน “Longevity” หรือการทำให้คนอายุยืนอย่างมีสุขภาพดี ซึ่งเป็น Big Story ของโรงพยาบาลในอนาคต รวมทั้งการขานรับนโยบาย Medical Hub ของภาครัฐ ผ่านการขยายบริการสู่ภูเก็ต
คุณภัทรพงศ์ทิ้งท้ายว่า “เราอยากเป็นผู้เริ่มก่อน เราอยากสร้างตำนานใหม่ของยูนิฟอร์มในวงการ Healthcare ที่เป็นแบบฉบับของบำรุงราษฎร์” ซึ่งนี่คือบทพิสูจน์ว่าสำหรับบำรุงราษฎร์แล้ว “มาตรฐานระดับโลก” ไม่ได้หยุดอยู่แค่เทคโนโลยีทางการแพทย์ แต่ครอบคลุมไปถึงทุกองค์ประกอบที่หล่อหลอมขึ้นเป็นประสบการณ์การรักษาพยาบาลที่ดีที่สุด
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา